วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

History of Thai Traditional Medicine



History of Thai Traditional Medicine


Since the dissemination of Buddhism from India to various regions, it not only propagated as a religion but also carried the transmission of Ayurvedic medicine facilitated by monks. This knowledge found its way to many Eastern countries, and Thailand was no exception. In Thailand, we amalgamated lifestyle, culture, Ayurvedic practices, and indigenous medicine to cultivate what is now known as Thai traditional Medicine.

The foundation of Thai traditional medical theory encompasses key elements such as etiology, weather etiology, age etiology, and time etiology. In the year 1999, the field of Thai Traditional Medicine was categorized into distinct professions, namely Thai traditional medicinal practitioners, Thai traditional pharmacists, Thai traditional midwives, and Thai traditional Massage practitioners.

Thai traditional medicinal professionals engage in medical examination, diagnosis, treatment, and disease prevention through the processes outlined in Thai traditional medicine, all under the guidance of a Thai traditional doctor.

Thai traditional pharmacy focuses on the preparation of pharmaceutical drugs, their manufacturing, invention, drug selection, quality control, and assurance, as well as prescription and dispensing by a licensed practitioner of Thai traditional medicine. Distribution aligns with the regulations specified in the drug act and follows procedures defined by Thai traditional pharmacists.

Thai traditional Midwifery involves therapies, guidance, and the dissemination of health knowledge for pregnant women, aiming to prevent disorders during pregnancy and childbirth, offering maternity care, and promoting maternal and infant health in the postpartum period.

Lastly, Thai traditional Massage entails assessment, diagnosis, treatment, disease prevention, health promotion, and rehabilitation through techniques involving compression, bending, pulling, catching, and other similar methods. This integrated approach reflects the rich tapestry of Thai Traditional Medicine, where ancient wisdom meets contemporary healthcare practices.

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สีบ้านและสีเฟอร์นิเจอร์....ที่ส่งเสริมความเจริญ

 
สีบ้านและสีเฟอร์นิเจอร์....ที่ส่งเสริมความเจริญ

สีบ้านและสีเฟอร์นิเจอร์....ที่ส่งเสริมความเจริญ


    หน้าบ้านหันไปทิศไหนไม่ควรใช้สีอะไร ทิศไหนของบ้านไม่ควรมีสีหรือธาตุอะไร หลักนี้ใช้กับการออกแบบจัดสวนปลูกไม้ดอกรอบบริเวณบ้านได้ด้วย ต้นไม้ใหญ่ควรตัดแต่งให้โปร่งโล่ง เป็นการเปิดวิสัยทัศน์และรับโชคลาภให้เข้าสู่สถานที่
 
     - บ้านหรือเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้าน สีฟ้า สีน้ำเงิน สีดำ สีเทา สีม่วงคราม จัดเป็นสีของธาตุน้ำ รวมถึงการตั้งวางน้ำ ขุดบ่อ สระด้วย  

                 ส่งผลดีต่อ      ทิศเหนือ                         เรื่องหน้าที่การงาน  
                                        ทิศตะวันออก                  เรื่องสุขภาพ    
                                        ทิศตะวันออกเฉียงใต้      เรื่องเงินทอง ทรัพย์สิน 

                 ส่งผลเสียต่อ    ทิศตะวันตก                      เรื่องบุตรบริวาร 
                                         ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ     เรื่องผู้อุปถัมภ์ ลูกค้า ผู้บังคับบัญชา 

                 



 
     - บ้านหรือเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้าน สีเขียว หรือไม้ที่ทาแลคเกอร์เคลือบเนื้อไม้ จัดเป็นสีของธาตุไม้ รวมถึงการปลูกต้นไม้สีเขียวด้วย 

                 ส่งผลดีต่อ   ทิศตะวันออก                    เรื่องสุขภาพ 
                                     ทิศตะวันออกเฉียงใต้       เรื่องเงินทอง ทรัพย์สิน 
                                     ทิศใต้                               เรื่องชื่อเสียง คดีความ 

                 ส่งผลเสียต่อ    ทิศเหนือ                      เรื่องหน้าที่การงาน 

                 



 
     - บ้านหรือเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้าน สีแดง สีส้ม สีชมพู สีโอโรส สีม่วงแดง จัดเป็นสีของธาตุไฟ รวมถึงการเปิดไฟไว้ด้วย 

                ส่งผลดีต่อ    ทิศใต้                                 เรื่องชื่อเสียง คดีความ 
                                    ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ     เรื่องการศึกษา วิชาการ แผนงาน 
                                    ทิศตะวันตกเฉียงใต้            เรื่องครอบครัว ความสามัคคีในบ้านในหน่วยงาน 

                ส่งผลเสียต่อ    ทิศตะวันออก               เรื่องสุขภาพ 
                                     ทิศตะวันออกเฉียงใต้     เรื่องเงินทอง ทรัพย์สิน 

               


 
     - บ้านหรือเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้าน สีน้ำตาล สีดินหรือเอิร์ทโทน สีเหลือง จัดเป็นสีของธาตุดิน รวมถึงเครื่องปั้นดินเผาที่ไม่ได้ทาสีด้วย 

                ส่งผลดีต่อ    ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ      เรื่องการศึกษา วิชาการ แผนงาน 
                                     ทิศตะวันตกเฉียงใต้            เรื่องครอบครัว ความสามัคคีในบ้านในหน่วยงาน   
                                     ทิศตะวันตก                        เรื่องบุตรบริวาร 
                                     ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ       เรื่องผู้อุปถัมภ์ ลูกค้า ผู้บังคับบัญชา 

                ส่งผลเสียต่อ  ทิศใต้                       เรื่องชื่อเสียง คดีความ 

 



 
     - บ้านหรือเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้าน สีขาว สีเงิน สีทอง จัดเป็นสีของธาตุทอง รวมถึงสแตนเลส โลหะทุกชนิด กระจกใส ด้วย 

                ส่งผลดีต่อ    ทิศตะวันตก                   เรื่องบุตรบริวาร 
                                  ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ     เรื่องผู้อุปถัมภ์ ลูกค้า ผู้บังคับบัญชา 
                                  ทิศเหนือ                           เรื่องหน้าที่การงาน

               ส่งผลเสียต่อ  ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ    เรื่องการศึกษา วิชาการ แผนงาน 
                                 ทิศตะวันตกเฉียงใต้               เรื่องครอบครัว ความสามัคคีในบ้านในหน่วยงาน 
       

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อาหารบำบัดสำหรับคนเป็นโรคความดันโลหิตสูง



โรคความดันโลหิตสูงเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบมากในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งของสาเหตุมาจากอารมณ์ที่แปรปรวนและการเร่งรีบในชีวิตประจำวัน อีกส่วนที่สำคัญคือการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง โดยโรคไขมันสูงและความดันโลหิตสูงมักเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่ดี นั่นคือกินตามใจปาก ตามใจท้อง หรือกินโดยยึดเอาความอร่อยเป็นที่ตั้ง

ความสำคัญของการเลือกกินอาหาร: อาหารที่เราบริโภคจึงมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพทั้งกายและจิตใจของเรา ดังนั้นการเลือกกินอาหารที่เหมาะสมสามารถทำหน้าที่เป็นยาบำรุง ยาช่วยซ่อมแซม และยารักษาโรคได้


3 สิ่งที่อาหารทำได้:

  • ช่วยบำรุงเลี้ยงร่างกาย: อาหารที่คุณบริโภคมีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการทำงานของร่างกาย. วิตามิน, แร่ธาตุ, โปรตีน, และไขมันที่ดีเป็นต้น เป็นส่วนสำคัญของการรักษาสุขภาพที่ดี
  • ช่วยซ่อมแซมสิ่งสึกหรอในร่างกาย: อาหารที่มีสารต่าง ๆ เช่น วิตามิน C, E, และแคลเซียมมีความสามารถในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • เป็นยารักษาโรค: การเลือกกินอาหารที่มีส่วนผสมที่สามารถป้องกันหรือช่วยรักษาโรคได้, เช่น อาหารที่ต้านอนุมูลอิสระ, ลดความดันโลหิต, และลดระดับไขมันในเลือด.


ตามตำราอายุเวทบอกว่า สรรพสิ่งทั้งหลายมีธาตุพื้นฐานหรือปัญจมหาภูตรูปอยู่ 5 อย่าง ซึ่งคล้ายคลึงกับการแพทย์แผนไทย คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ในร่างกายของเรามีพื้นฐานทั้ง 5 อย่างนี้เหมือนกัน โดยจัดแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ กลุ่มของลมหรือวาตะ กลุ่มของดินและน้ำ ซึ่งเรียกรวมกันว่าเสมหะ และกลุ่มที่ 3 คือ ไฟ

โดยกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงนั้นเกิดจากการสะสมของเสมหะ คือ ดินและน้ำมาก การดูแลและป้องกันการเกิดโรคจึงต้องมาดูกันว่ามีอาหารอะไรบ้างที่เพิ่มดิน และน้ำ (เสมหะ) ให้เรา ซึ่งในอายุเวทได้ระบุไว้ชัดเจนว่าคือ อาหารหวาน อาหารมัน และอาหารเค็ม อาหารนั้นควรเน้นการกินผักและโปรตีนจากพืชหรือจากปลาแทน เพราะเนื้อปลามีไขมันชนิดดี ที่ช่วยขจัดไขมันชนิดเลวออกไปจากร่างกาย ปลาจึงเหมาะสำหรับผู้มีปัญหาความดันโลหิตสูงและไขมันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาทะเล เพราะมีไอโอดีน ส่วนข้าวกล้องหรือข้าวที่ยังไม่ได้ขัดสีมีสารอาหารต่าง ๆ เช่น วิตามิน โปรตีน และแร่ธาตุต่าง ๆ อยู่ครบถ้วน ในขณะที่ข้าวที่ขัดสีแล้ว จะสูญเสียวิตามินไปหมดสิ้น เหลือเพียงแป้งขาวหรือคาร์โบไฮเดรตซึ่งทำให้อ้วนเท่านั้น


การอดอาหารในแนวทางอายุรเวท

      การอดอาหารในแนวทางของอายุเวท ถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความดันโลหิตและไขมันในเลือดอย่างได้ผล เพราะเมื่ออดอาหาร น้ำย่อยในร่างกายจะยังคงออกมาตามธรรมชาติ แต่เมื่อในกระเพาะอาหารไม่มีอาหาร น้ำย่อยก็จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกายแทนและขับสิ่งที่เป็นพิษในร่าง กายออกมา

      หลักการอดอาหาร 1 วันแบบอายุรเวท (**ร่างกายต้องพร้อมมิฉะนั้นอาจจะเป็นลมได้**)

    • อดอย่างแรง คือ งดอาหารและน้ำ
    • อดอย่างปานกลาง คือ ดื่มน้ำได้
    • อดอย่างเบา คือ ดื่มน้ำผลไม้ได้


การกินอย่างอายุรเวท:

การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ที่ครบถ้วน 3 อย่าง: ช่วยบำรุงเลี้ยงร่างกาย, ช่วยซ่อมแซมสิ่งสึกหรอในร่างกาย, และเป็นยารักษาโรค. ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยงใส่เกิดภาวะความดันโลหิตสูง และเน้นกินอาหารที่ไม่แสลงต่อโรค.

หลีกเลี่ยง:

    • อาหารหวาน, อาหารมัน, และอาหารเค็ม.
    • อาหารที่ขัดสี, อาหารที่ผ่านกระบวนการขัดสี.
    • อาหารที่ทำให้เกิดไขมันชนิดเลวในเลือด.

สูตรจัดระเบียบภายในแบบชีวจิต 14 วัน เพื่อสุขภาพที่ดี: การทำสูตร 14 วันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดความดันโลหิตและไขมันในเลือดได้ สูตรนี้ประกอบไปด้วยขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามเนื้อหาที่กล่าวถึง การอดอาหารในแนวทางอายุรเวท การกินอย่างอายุรเวท และการทำสูตรจัดระเบียบภายใน โดยมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้
  1. งดน้ำชา กาแฟ และบุหรี่ ให้ดื่มชาสมุนไพร เช่น ชาเก๊กฮวย มะตูม ดอกคำฝอย แทน
  2. ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน 60 กิโลกรัม วันแรกของรายการให้งดอาหาร ดื่มน้ำมะนาวสด ๆ คั้น 3 ลูก ตอนเช้าและเย็น หลังจากนั้นให้ดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อยวันละ 3 ขวดต้องใช้คำว่าฉิบบ่อยๆๆนะค่ะถ้าดื่มทีละมากๆๆไตอาจทำงานหนักได้ค่ะและควร ดื่มน้ำสมุนไพรสลับบ้างก็ได้ และวันแรกของรายการให้พักผ่อนมากๆๆทำงานเบาๆๆสบายๆๆตลอดวัน
  3. รับประทานอาหาร แต่ 3 วันแรกของรายการให้ปรับอาหารเป็นผักลวก-ข้าวทั้งหมด
  4. วันที่ 4-6 รับประทานอาหารเบา ๆ เช่น ข้าวต้ม ตั้งแต่วันที่ 7 จนถึงวันที 14 จึงรับประทานอาหารได้เต็มที่ (มีอาหารทะเลได้) ตลอดรายการห้ามปรุงอาหารรสจัด
  5. ดื่มน้ำคั้นจากผัก เช่น น้ำแตงกวาผสมมะนาว1ลูกตอนเช้านะค่ะ น้ำขึ้นฉ่ายหรือเซเลอรี่ ครั้งละ 1 แก้ว วันเว้นวัน
  6. ตั้งแต่วันที่ 4 เป็นต้นไป รับประทานอาหารให้หลากหลายแต่ไม่เน้นไปทางของแสลงเช่นของทอด แป้ง อาหารสำเร็จรูป เป็นไปได้อาหารไทยจำพวกต้ม ยำ ทำแกง
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และสามารถช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้.


หมอณัฏฐ์
    
 
 
   

ประโยชน์ของ "ขมิ้นชัน" ทองคำแห่งสุขภาพของคนไทย


ประโยชน์ของ "ขมิ้นชัน" ทองคำแห่งสุขภาพของคนไทย

ประโยชน์ของ "ขมิ้นชัน" ทองคำแห่งสุขภาพของคนไทย


ขมิ้นชัน หรือที่ชาวโลกเรียกกันว่า "กระทิงแดง" ไม่เพียงเป็นเครื่องเทศที่เสริมรสชาติให้กับอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมานานในศาสตร์อายุรเวทและการวิจัยทางการแพทย์ ซึ่งมีข้อมูลการวิจัยรับรองถึงประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆ ที่ทำให้ขมิ้นชันเริ่มมีที่มาและความน่าสนใจอย่างมาก

การรักษาโรคกระเพาะอาหารและข้อเสื่อม:
ขมิ้นชันมีสารสกัดที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ที่เป็นสาเหตุของแผลในกระเพาะอาหาร การที่ขมิ้นชันสามารถกระตุ้นการหลั่งน้ำดีและเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยให้กระเพาะอาหารแข็งแรงมากขึ้น ไม่เพียงนี้เท่านั้น ยังมีฤทธิ์ลดปวด ต้านการอักเสบ โดยลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหารที่มาจากความเครียด แอลกอฮอล์ และยาแก้ปวด

การป้องกันและรักษามะเร็ง:
ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ในการป้องกันและรักษามะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร การศึกษาในหนูทดลองและเซลล์มะเร็งของมนุษย์ในหลอดทดลองพบว่า ขมิ้นชันสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้

การนำขมิ้นชันมาใช้ภายนอก:
การใช้ขมิ้นชันทาผิวหนังช่วยบำรุงผิว ลดการอักเสบ ลดการแพ้ และการระคายเคืองของผิว ทำให้ผิวดูสดใส นอกจากนี้ยังลดรอยโรคจากการติดเชื้อรา

ความน่าสนใจเพิ่มเติม:
สำหรับคนที่ต้องการสุขภาพที่ดีและอยากรู้ถึงเคล็ดลับในการชะลอวัย การทานขมิ้นชันเป็นประจำเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทีเดียว ไม่เพียงเพราะความสามารถในการช่วยชะลอวัยด้านความงามเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในการต้านโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ตามผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์

ผู้บริโภคในยุคที่ความต้องการสุขภาพมีความสำคัญ:
ในบรรดาผู้ที่ต้องการสุขภาพที่ดีและให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง การทานขมิ้นชันในอาหารเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างมาก ซึ่งเชื่อว่าเป็นหนึ่งในเคล็ดลับที่ทำใ


การใช้ขมิ้นชัน:
  • สำหรับการรักษาโรคกระเพาะอาหารและข้อเสื่อม:

      • ทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร
      • ให้เพิ่มปริมาณการทานหากใช้เพื่อรักษาโรคกระเพาะอาหาร
  • สำหรับบำรุงสุขภาพ:

      • ทานขมิ้นชันเพียงวันละ 500-1000 มิลลิกรัม

ผลข้างเคียง:
ส่วนใหญ่ของผู้ที่ทานขมิ้นชันไม่มีผลข้างเคียงมากนัก แต่บางรายอาจมีอาการท้องเสียเล็กน้อย และควรหลีกเลี่ยงการใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรโดยไม่รับประทาน

สรุป:
การใช้ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรเครื่องเทศไม่เพียงทำให้อาหารอร่อยมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคกระเพาะอาหาร หรือการลดอาการปวดและอักเสบในผู้ป่วยข้อเสื่อม นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ป้องกันมะเร็ง และช่วยในการบำรุงผิวหนัง ให้คุณมีส



หมอณัฏฐ์


วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การรักษา "โรคไทรอยด์" ตามศาสตร์แพทย์แผนจีน

โรคไทรอยด์ อาการโรค ”อิงปิ้ง” อธิบายว่าเกิดจาก การกินอาหารรสจัดทั้ง 5 รส (เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ขม บวกมันเข้าไปด้วย) ทำให้กระเพาะสะสมความร้อน เสมหะร้อนหลอมรวมกัน หรือเกิดจากอารมณ์ปรวนแปรบ่อย ทำให้พลังชี่ตับอั้น เสมหะชื้นอุดกั้น ก่อให้เกิดอาการอย่างที่คุณเป็นขึ้นได้สาเหตุของต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน ปกติการทำงานของต่อมไทรอยด์<อยู่ภายใต้การควบคุมของต่อมต้สมอง ถ้าต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนมากระตุ้นให้ทำงานมาก แต่ถ้าต่อมไทรอยด์ทำงานมาก ต่อมใต้สมองจะลดการหลั่งฮอร์โมนมากระตุ้นทำให้ทำงานน้อยลง/>ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษคือผู้ป่วยที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน โดยต่อมใต้สมองไม่สามารถควบคุมได้ ฮอร์โมนไทร็อกซีนที่มากเกิน>ก็จะกระตุ้นการทำงานของเซลล์ต่างๆ ให้ทำงานมากผิดปกติ เกิดอาการต่างๆ เช่น มือสั่น หงุดหงิด ขี้ร้อน โมโหง่าย กินจุ น้ำหนักลด นอนไม่หลับ ความดันสูง เป็นต้นมองแบบแพทย์จีน : ภาวะยินพร่อง ไฟกำเริบ ร่างกายผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษจะมีภาวะหยางมาก หรือมีไฟ ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญ การกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ มากกว่าปกติ มีลักษณะไปทางหยาง เช่น หิวเก่ง ใจสั่น รู้สึกร้อน ความดันสูง หงุดหงิด ท้องเสีย เป็นต้น ความผิดปกติของร่างกายมีผลต<อระบบฮอร์โมนหลายชนิด หลายระบบ ตั้งแต่ระบบประสาทอัตโนมัติ ต่อมหมวกไต ระบบไฮโพทาลามัส ต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ ต่อมเพศ ยังทำให้ระดับ C-AMP ในเลือดสูงขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลงอีกด้วยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากภาวะกาเสียสมดุลแพทย์จีนเรียกว่า "ยินพร่อง" เป็นภาวะที่เซลล์แห้ง ขาดสารยิน (ขาดสารน้ำและของเหลวภายในเซลล์) ทำให้เกิดความร้อนภายในเซลล์ ซึ่งมีผลกระทบต่อทุกระบบของร่างกาย ไม่ใช่เฉพาะตัวต่อมไทรอยด์เท่านั้นการแก้ปัญหาหรือมุ่งเน้นที่ตัวไทรอยด์อย่างเดียวจึงมีลักษณะจำเพาะเกินไป การรักษาแผนปัจจุบันใช้กลุ่มยาต้านไทรอยด์ (antithyroid drug) เช่น เมทิมาโซล (methimazole) หรือโพรพีลไทโอยูราซิล (propylthiouracil) ถ้ารักษา 18-24 เดือนไม่ได้ผล แพทย์จะพิจารณากินน้ำแร่หรือการผ่าตัด การผ่าตัดยุ่งยากกว่า เพราะอาจมีโอกาสตัดต่อมพาราไทรอยด์ออกไปด้วย และอาจตัดถูกประสาทกล่องเสี>ยง (laryngeal nerve) ทำให้เสียงแหบ บางครั้งการกินน้ำแร่ง่ายกว่า แต่โอกาสเกิดต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำได้สูงมาก 1 ปีหลังจากการกินน้ำแร่ ผู้ป่วยเปลี่ยนจากโรคภาวะไทรอยด์เกิน (เป็นพิษ) กลายเป็นผู้ป่วยภาวะฮอร์โมนไทรอยด์พร่อง (ขาด) เปลี่ยนจากอาการขี้ร้อน หงุดหงิด นอนไม่หลับ กลายเป็นคนหนาวง่าย เฉื่อยชา ง่วงนอนเก่ง ถ้ามองโดยภาพรวมเหมือนตาชั่งที่มี 2 ข้าง แต่เดิมน้ำหนักถ่วงมาก ข้างหนึ่งเกิดการเสียสมดุล พอรักษาจบกระบวนความ กลายเป็นตาชั่งเอียงมาอีกข้างหนึ่งความจริงเราต้องการตาชั่งให้มีความสมดุล ไม่ใช่ต้องการเอียงไปอีกข้า>งหนึ่ง การรักษาแบบนี้ถือว่ายังไม่ ใช่การรักษาในเชิงอุดมคติการปรับสมดุลยิน-หยาง โดยการบำรุงสารยินและระบายร้อนการปรับสมดุลยิน-หยางนั้น เป็นการสร้างเงื่อนไขและปรับสภาพของเซลล์ไม่ให้แห้งและลดภาวะไฟที่กำเริบ เป็นการปรับพื้นฐานเพื่อให้เซลล์เข้าสู่ภาวะสมดุลของยิน-หยาง และเมื่อใช้ร่วมกับการควบคุมฮอร์โมนไทรอยด์ที่สูงด้วยยาแผนปัจจุบัน การลดขนาดของยา และหยุดยาต้านไทรอยด์มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงการใช้ยาต้านไทรอยด์ การใช้ยาต้านไทรอยด์ กล่าวได้ว่า เป็นการรักษาปรากฏการณ์ของฮ>อร์โมนไทรอยด์สูง จวื่อเปียว ส่วนการปรับยิน-หยางของเซลล์และระบบต่างๆ ของร่างกายไม่ให้แห้ง และไม่ให้เกิดไฟ รวมทั้งการขับความร้อนภายในเซลล์ เรียกว่า การรักษาธาตุแท้จวื่อเปิ่น <แผนปัจจุบันมักรักษาอาการรักษาปรากฏการณ์ ใช้วิธีการลด ทำลาย เมื่อพบความผิดปกติที่จุดใดจุดหนึ่ง และอธิบายสาเหตุของความผิดปกติไม่ได้ มักจะลงเอยว่าเป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ตัวเอง หรือออโตอิมมูน (autoimmune) เวลาแก้ปัญหาปฏิกิริยาภูมิแพ้ ก็ใช้ยาไปกดภูมิคุ้มกันอีก (ไม่ใช่วิธีการไปปรับระบบภูมิแพ้) ซึ่งสร้างปัญหาและผลข้างเคียงของการรักษาจากยาให้กับผู้ป่วยอีกn การศึกษาวิจัยภาวะไทรอยด์เป็นพิษและการรักษาปัจจุบันภาวะไทรอยด์เป็นพิษส่วนมากเมื่อวินิจฉัย ตามหลักการแยกภาวะโรคและร่างกาย หรือเปี้ยนเจิ้ง จัดเป็นภาวะยินพร่องไฟกำเริบภาวะไฟกำเริบ 1. ไฟของตับ หงุดหงิด โมโหง่าย ปวดชายโครง ประจำเดือนผิดปกติ มือสั่น 2. ไฟของหัวใจ ใจสั่น นอนไม่หลับ ปลายลิ้นแดง 3. ไฟของกระเพาะอาหาร หิวเก่ง กินจุ ตัวผอมแห้ง 1. หยินของหัวใจพร่อง ใจสั่น นอนไม่หลับ เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ 2. ยินของตับพร่อง เวียนศีรษะ ตาแห้ง หงุดหงิด อาการสั่น 3. ยินของไตพร่อง ร้อนฝ่ามือฝ่าเท้าและกลางหน้าอก หน้าแดง โดยเฉพาะหลังเที่ยง เอว เข่า เมื่อยอ่อนล้า ผมร่วง เสียงดังในหูการรักษาทางคลินิก 1. เสริมบำรุงยิน ระบายร้อน โดยวิธีการนี้ทำให้สามารถคุมระบบสมองใหญ่ ระบบต่อมใต้สมอง ระบบต่อมหมวกไต และมีผลต่อการควบคุมต่อมไทรอยด์ได้ดีขึ้น 2. เสริมพลังชี่ บำรุงยิน เป็นวิธีการเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยเฉพาะกลุ่มเซลล์แมกโครฟา และปรับสมดุลของสารน้ำในเซลล์ควบคู่กันไป สรุป ทฤษฎียิน-หยางของแพทย์จีน มุ่งเน้นการแยกแยะ สรรพสิ่งเป็น 2 ด้านเสมอ สิ่งก่อโรค (เสียชี่ ) กับ ภูมิร่างกาย (เจิ้งชี่ )อาการของโรค กับ เหตุแห่งโรคร่างกายภายนอก กับ อวัยวะภายใน โรคใหม่ที่เพิ่งปรากฏ กับ โรคที่เป็นอยู่ก่อน สิ่งก่อโรค อาการของโรค สิ่งปรากฏภายนอกร่างกาย โรคที่เพิ่งปรากฏให้เห็น จัดเป็นปรากฏการณ์ บางทีเรียกว่า ปลายเหตุ ภูมิร่างกาย เหตุแห่งโรค โรคอวัยวะภายใน โรคที่เป็นอยู่ก่อน จัดเป็นธาตุแท้ บางทีเรียกว่า ต้นเหตุ การรักษาโรคด้วยทัศนะแพทย์แผนปัจจุบัน มักจับเอาปรากฏการณ์เฉพาะส่วนมาวินิจฉัย ว่าเป็นโรคอะไร แล้วให้การรักษา ซึ่งจะได้ผลดีเฉพาะส่วน แต่ไม่ได้แก้ธาตุแท้และองค์รวมของปัญหาทั้งหมด การรักษาจึงมักเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่อระบบต่างๆ การรักษาโรคด้วยทัศนะแพทย์แผนจีนมักเน้นการปรับสมดุลพื้นฐานของร่างกาย เป็นการสร้างเงื่อนไข ไม่ให้เกิดโรคหรือทำให้โรคถ>ูกควบคุมด้วยภาวะเงื่อนไขทีเปลี่ยนแปลงไป เป็นการรักษาที่ธาตุแท้ และมีลักษณะองค์รวม ร่วมกับการรักษาอาการการแพทย์ในเชิงบูรณาการ คือการแก้ปัญหาทั้งปรากฏการณ์ทีพบ ที่การปรับสมดุลพื้นฐานของร่างกาย ซึ่งเป็นธาตุแท้ของการเกิดโรค โดยเลือกเอาข้อดีข้อเด่นของแต่ละศาสตร์มาร่วมกัน จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงและป้องกันจุดอ่อนของความโน้มเอียงการรักษาทางการแพทย์ที่สุดขั้ว ที่มา: หมอสะกีนะฮฺ แพทย์แผนตะวันออก

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

"หมามุ่ย" ช่วยทำชีวิตสมรสดีขึ้น หลังวิจัยพบช่วยปลุกอารมณ์เซ็กซ์ ผู้ชายรู้สึกปึ๋งปั๋ง หญิงยิ้ม รู้สึกอกเต่งตึง อวัยวะรับสัมผัสเซ็กซ์กระชับขึ้น



      เข้าใกล้ก็คัน เดินผ่านก็คัน มองเห็นก็ยังคัน อะไรเอ่ย... เกิดตามไร่ ก็ตัดทิ้ง เกิดในนาก็ตัดทิ้ง เกิดตามบ้านโค่นทิ้งทั้งเหง้า อะไรเอ่ย.....

     "หมามุ่ย" ที่ไหนก็ตัดทิ้ง ถางทิ้งหมด แต่ที่นิ่ ไม่ทิ้งครับ เขาเอามทำอะไร ฮั่นแน่ รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ อย่างเพิ่งอ่านผ่านไป ข่าวดีสำหรับท่านหญิงและท่านชาย ที่มีปัญหา เรื่อง.....ชีวิตคู่ มันไม่คึกมันไม่คัก
อ่านบทความนี้ดูครับ ...... น่าสนนะ ที่บ้านมีเยอะแยะหากต้องการเดียวจัดให้......
"หมามุ่ย" หรือหมากตำแย เป็นไม้เลื้อยที่คันแสนคัน.....
 

      ชาวศรีสะเกษคอนเฟิร์ม “เม็ดหมามุ่ย” ช่วยทำชีวิตสมรสดีขึ้น หลังวิจัยพบช่วยปลุกอารมณ์เซ็กซ์ ผู้ชายรู้สึกปึ๋งปั๋ง ไม่เหนื่อยง่าย ส่วนฝ่ายหญิงยิ้ม รู้สึกอกเต่งตึง อวัยวะรับสัมผัสเซ็กซ์กระชับขึ้น
ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา มีการนำเสนอผลงานวิจัยของข้าราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จำนวนกว่า 800 ผลงาน โดยนางชนัดดา บัลลังค์ นักวิชาการจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทุ่งรวงทอง อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ ได้นำเสนอผลงานวิจัยเรื่อง “หมามุ่ย:สมุนไพรต่อความมั่นคงของชีวิตสมรส” ว่า จากการศึกษาผลของสมุนไพรหมามุ่ยต่อความสุขของชีวิตสมรส เพื่อเปรียบเทียบผลของการใช้สมุนไพรหมามุ่ยต่อชีวิตสมรส กับชาวบ้านในตำบลโพธิ์ อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ จำนวน 6,217 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยสมัครใจจำนวน 40 คน เป็นชาย 20 คน และ หญิง 20 คน ซึ่งก่อนการวิจัยให้ข้อมูลว่า มีความรู้สึกถึงความมั่นคงต่อชีวิตสมรสในระดับปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ โดยใช้เม็ดหมามุ่ยคั่วสุกบดละเอียดให้ชงรับประทาน และสอบถามความรู้สึกหลังการวิจัย พบว่า ระดับความรู้สึกของกลุ่มตัวอย่างต่อชีวิตสมรสก่อนการใช้หมามุ่ยอยู่ในระดับ ปานกลาง แต่เมื่อได้ดื่มน้ำเม็ดหมามุ่ยคั่วบดละเอียดแล้ว ความรู้สึกต่อชีวิตสมรสเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับมาก


      นางชนัดดา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ได้มีการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มสมุนไพรหมามุ่ย พบว่า มีความพอใจคู่สมรส และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น โดยในผู้หญิงมีความรู้สึกว่าหน้าอกมีความเต่งตึง และอวัยวะส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการรับสัมผัสทางเพศมีความกระชับมากขึ้น การมีเพศสัมพันธ์ดี ไม่เหนื่อยง่าย ขณะที่ เพศชายมีความรู้สึกว่า ระหว่างปฏิบัติการไม่เหนื่อยง่าย แถมยังกระฉับกระเฉง จำนวนครั้งที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยได้เสนอแนะว่า การใช้หมามุ่ยควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และผู้ใช้ต้องมีความรู้ทางด้าน สมุนไพรเพื่อความปลอดภัย

     นางชนัดดา กล่าวด้วยว่า งานวิจัยครั้งนี้มีสมมติฐานการวิจัยมาจากฐานข้อมูลของกรมการปกครองที่พบว่า สถิติการหย่าร้างของคนไทยตั้งแต่ปี 2550-2552 มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 100,420 คน ในปี 2550 เพิ่มเป็น 109,277 คน ในปี 2552 และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงคิดว่าน่าจะมีแนวทางในการช่วยเหลือหรือเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ชีวิต คู่ ชีวิตสมรสให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าเพศสัมพันธ์มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตคู่ของมนุษย์มาโดย ตลอด เนื่องจากเป็นความต้องการพื้นฐานในความสุขทางเพศ จะต้องประกอบด้วยปัจจัยที่เหมาะสมทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ซึ่งเมื่อสภาพร่างกายที่มีอายุมากขึ้น การปลุกเร้าทางเพศต้องใช้เวลานานขึ้น และการแข็งตัวของอวัยวะเพศก็อาจแข็งตัวช้า

     นางชนัดดา กล่าวถึงวิธีการใช้หมามุ่ยว่า ทางโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุ่งรวงทอง อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ จะเป็นผู้ควบคุมการใช้หมามุ่ยคั่วสุขบดละเอียด คือ ในแต่ละวันจะใช้ผงหมามุ่ยที่บดแล้ว จำนวน 1 ช้อนชา โดยจะชงผสมกับน้ำให้กับกลุ่มตัวอย่างดื่ม ซึ่งจะเลือกให้ดื่มในช่วงเวลาเย็น ทั้งนี้ ในการทำการทดลอง จะใช้ระยะเวลาในการทดลองเป็นเวลา 45 วัน และจากผลการศึกษาพบว่าระดับความรู้สึกของกลุ่มตัวอย่างที่ทดลองนั้น พบว่า ก่อนการใช้หมามุ่ยในกลุ่มทดลองนั้นผู้ใช้จะมีการแข็งตัวของอวัยวะเพศแข็งตัว ช้า แต่ภายหลังจากการใช้หมามุ่ยแล้วพบว่าการแข็งตัวของอวัยวะเพศเร็วและนานขึ้น

ที่มา:  ค่ายเดินป่าเรียนรู้สมุนไพร ร่วมแชร์สุขภาพดีๆเพื่อพี่น้อง

เผยอาหารแสลง : อาหารต้องห้ามสำหรับผู้ป่วย 10 โรค

           


      เรามักได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดถึงข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการกินและข้อควร ปฏิบัติ เช่น คนที่ร้อนในง่ายห้ามกินของร้อน (คุณสมบัติหยาง) ของทอดๆ มันๆ ของเผ็ด เช่น

          - กินทุเรียนแล้วห้ามกินเหล้า

          - กินทุเรียนแล้วควรกินมังคุดหรือกินน้ำเกลือตาม

          - กินลำไยมากระวังตาจะแฉะ

          - เวลาเริ่มเป็นหวัด เจ็บคอ ควรกินพวกยาขม

          - เวลาร้อนใน ให้กินน้ำจับเลี้ยง หรือกินน้ำเก๊กฮวย

          - หญิงปวดประจำเดือนห้ามกินของเย็น (ลักษณะหยิน) เช่น แตงโม น้ำมะพร้าว

          - คนที่กินยาบำรุงจีน ห้ามกินผักกาดขาว หัวไชเท้า ฯลฯ เพราะจะล้างยา (ทำไห้ฤทธิ์ของยาน้อยลง) ฯลฯ

     คำกล่าวเหล่านี้ก็มีในทัศนะทางการแพทย์แผนจีนมาจากพื้นฐานที่ว่า “อาหารคือยา อาหารและยามีแหล่งที่มาเดียวกัน” การเลือกกินอาหารให้เหมาะสมเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประยุกต์เปลี่ยนแปลง ให้สอดคล้องกับภาวะที่เป็นจริงของบุคคลเงื่อนไขของเวลาและสภาพภูมิประเทศ (สิ่งแวดล้อม) จึงจะเกิดผลที่ดีต่อสุขภาพ

       ในแง่ของคนไข้ การเลือกกินอาหารให้เหมาะสม จะทำให้โรคร้ายทุเลาลง ช่วยเสริมการรักษาและฟื้นฟูร่างกาย ในทางกลับกันการเลือกอาหารไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ย่อมทำให้โรคร้ายรุนแรง กำเริบและบั่นทอนสุขภาพมากขึ้น

 

 อาหารแสลงหรืออาหารต้องห้าม ในความหมายที่กว้าง หมายถึง

       ๑. การกินอาหารที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป ก็เกิดโทษ

       ๒. การกินอาหารชนิดเดียวกัน ซ้ำซาก ก็เกิดโทษ

       ๓. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะร่างกายในยามปกติ (ลักษณะธาตุของแต่ละบุคคล)

       ๔. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือในขณะที่เป็นโรค

       ๕. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับยาสมุนไพรที่ใช้รักษาในขณะเป็นโรค

      การกินอาหารมากไปหรือน้อยไปและการกินอาหารชนิดเดียวกันอย่างซ้ำซากได้กล่าว มาแล้วในครั้งก่อน ที่จะกล่าวต่อไป คือ หลักการหลีกเลี่ยงอาหารในขณะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคต่างๆ หรือภายหลังการฟื้นจากการเจ็บป่วย

   

อาหารกับโรค

       ๑.คนที่เป็นไข้หวัดไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารมัน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ย่อยยาก ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมือน “อาหารเชื้อเพลิง” หรือการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ

      ๒. คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือระบบการย่อยไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในร่างกายทำให้โรคหายยาก แนะนำให้กินอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง กินอาหารตามเวลา และเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย

       ๓. คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย(ความชื้นมีผลให้ เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบความร้อนทำให้ภาวะร่างกาย ถูกกระตุ้นทำให้ความดันสูง) นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน) เราคงได้ยินบ่อยๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว

       ๔. คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอดๆ มันๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

       ๕. คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคไต หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะรสเค็มทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า เป็นภาระต่อหัวใจในการทำงานหนักเพิ่มขึ้น ทำให้ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาหารที่มีรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนทำให้ต้องสูญพลังงานมาก และหัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โดยสรุปคือ ต้องลดการทำงานของหัวใจและไต โดยไม่เพิ่มปัจจัยต่างๆที่เป็นโทษเข้าไป

       ๖. คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน หรืออาหารประเภทแป้งที่มีแคลอรีสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ แนะนำอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ฯลฯ

       ๗. คนที่นอนหลับไม่สนิท ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท

       ๘. คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ทำให้ท้องผูก ทำให้เส้นเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

        ๙. คนที่มีอาการลมพิษ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นมหรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ

        ๑๐. คนที่เป็นสิว หรือมีการอักเสบของต่อมไขมัน ควรงดอาหารเผ็ดและอาหารมัน เพราะทำให้สะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด (ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย) ทำให้เกิดสิว

 

      หลักการทั่วไป ต้องหลีกเลี่ยงอาหารดิบๆ สุกๆ มีคุณสมบัติที่เย็นมาก ขณะเดียวกันอาหารที่ผ่านกระบวนการมาก อาหารที่ย่อยยาก อาหารทอดมันๆ อาหารรสเผ็ดจัด เหล้า บุหรี่ ฯลฯ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงภาวะเจ็บป่วยหรือขณะพักฟื้น เป็นภาวะระบบการย่อยดูดซึม (กระเพาะอาหารและม้าม) ทำงานไม่ดี การได้อาหารที่เย็นหรือย่อยยากจะทำให้การย่อย การดูดซึมมีปัญหามากขึ้น ทำให้ขาดสารอาหารมาบำรุงเลี้ยงร่างกาย และต้องสูญเสียพลังเพิ่มขึ้นในการทำงานของระบบย่อย อาหารเผ็ด เหล้า และบุหรี่ มีฤทธิ์กระตุ้นและเพิ่มความร้อนในร่างกายทำให้มีการใช้พลังงานมากโดยไม่จำ เป็น

 

      อาหารแสลงในทัศนะแพทย์แผนจีนคืออาหารที่ไม่เย็น (ยิน) หรืออาหารที่ไม่ร้อน (หยาง) จนเกินไป กล่าวคือต้องไม่ดิบ (ต้องทำให้สุก) และต้องไม่ผ่านกระบวนการที่ทำให้เกิดคุณสมบัติร้อนมากเกินไป (ทอด ย่าง ปิ้ง เจียว ผัด) เพราะสุดขั้วทั้งสองด้านก็ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย

อาหารดิบ ไม่สุก :

       ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก ทำให้เสียสมรรถภาพการย่อยดูดซึมอาหารตกค้าง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด ขาดสารอาหาร

 

อาหารร้อนเกินไป :

       ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก มีความร้อนความชื้นสะสม เกิดความร้อนใน ร่างกายมากเกินไป ไปกระทบกระเทือนอวัยวะอื่นๆ เช่น กระทบปอด ลำไส้ ทำให้ท้องผูก เจ็บคอ ปากเป็นแผล กระทบตับ ทำให้ความดันสูง ตาแฉะ อารมณ์หงุดหงิด กระทบไต ทำให้ปวดเมื่อยเอว ผมร่วง ฯลฯ

 

 อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด

       จะได้สารและพลังจากธรรมชาติมากที่สุดอย่างไรก็ตามความเห็นในทางการแพทย์แผน ปัจจุบัน แนะนำให้กินผักสด ผลไม้สด ซึ่งไม่น่าขัดแย้งกัน เพราะเทคนิคการทำอาหารของจีน ต้องไม่ให้ดิบ และสุกเกินไป เพื่อดูดซับสารและพลังจากธรรมชาติให้มากที่สุด ดิบเกินไปจะทำให้เกิดพิษจากอาหาร สุกเกินไปทำให้เสียคุณค่าอาหารทางธรรมชาติ การเลือกกินอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและมีการปรุงแต่งที่มากเกินไป จะทำให้อาหารฮ่องเต้กลายเป็นอาหารชั้นเลวในแง่หลักโภชนาการ

       การเลือกอาหารให้สอดคล้องเหมาะสมไม่ใช่สูตรตายตัวแต่ต้องยืดหยุ่นพลิกแพลง และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นจริงของแต่ละบุคคล เวลา (เช่น ภาวะปกติ ภาวะป่วยไข้ กลางวัน กลางคืน ฤดูกาล) และสถานที่ (ภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม) เพื่อให้เป็นธรรมชาติและยังประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

ข้อมูล: facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน

ที่มา : www.sanook.com