วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา มะเร็งหลังโพรงจมูก (ฝีครีบแรด) ตามศาสตร์แพทย์แผนไทย




 
     

      มะเร็งหลังโพรงจมูก อีกหนึ่งมะเร็งร้ายที่กลายเป็นภัยเงียบและคร่าชีวิตผู้คนได้ไม่แพ้มะเร็งอื่นๆ เพราะมะเร็งหลังโพรงจมูกเป็นโรคที่อยู่ในตำแหน่งที่ซ่อนเร้น ยากแก่การตรวจพบ จึงทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยอาการของระยะที่มะเร็งลุกลามมากแล้ว ทำให้ยากแก่การรักษา ซึ่งในแต่ละปีพบผู้ป่วยทั่วโลกเกือบ 1 ต่อประชากรแสนคน โดยเฉพาะในแถบเอเชียจะพบผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกสูงมาก ได้แก่ จีนตอนใต้ ฮ่องกง ไต้หวัน และประเทศไทย ซึ่งสำหรับประเทศไทยนั้น พบมะเร็งหลังโพรงจมูกในผู้หญิง 1.6 ต่อแสนคนต่อปี ในชาย 4.5 ต่อแสนคนต่อปี และจัดเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับเก้าสำหรับผู้ชายไทย พบอุบัติการณ์ในผู้ชายสูงกว่าในผู้หญิงประมาณสองเท่า โดยส่วนมากอยู่ในวัยหนุ่มสาวถึงกลางคน

สาเหตุของมะเร็งหลังโพรงจมู

      1. สิ่งแวดล้อมและอาหาร เนื่องจากมะเร็งหลังโพรงจมูกพบบ่อยในประเทศจีนตอนใต้ และชาวเอสกิโมในรัฐอลาสก้า และกรีนแลนด์ ตลอดจนในแถบทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งหลังโพรงจมูกน่าจะเป็นผลจากสิ่งแวดล้อมและอาหาร โดยอาหารที่คนเหล่านี้รับประทานจะคล้ายคลึงกัน คือ ปลาเค็มและเนื้อเค็ม ซึ่งจะมีสารก่อมะเร็งไนโตรซามีน (nitrosamine) ปนเปื้อนอยู่ในสารอาหารเหล่านี้และเมื่อสูดดมสารนี้เข้าไปสัมผัสกับเยื่อบุของหลังโพรงจมูก อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ DNA ของเซลล์เยื่อบุผิว จนเกิดการกลายพันธุ์ (mutation) ของเซลล์ได้

      2. พันธุกรรม ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาของระบาดวิทยา พบว่ามะเร็งหลังโพรงจมูก พบบ่อยในคนจีนโดยเฉพาะในคนจีนตอนใต้ของประเทศ ตลอดจนคนจีนที่อพยพไปตั้งรกรากในประเทศต่างๆ แสดงให้เห็นว่าภาวะทางพันธุกรรมน่าจะมีส่วนในการส่งเสริมให้เกิดมะเร็งหลังโพรงจมู

      3. เชื้อไวรัส Epstein-Barr Virus (EBV) เป็น DNA virus ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Herpes virus พบว่าผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกมักจะมีประวัติเคยติดเชื้อ EBV และพบเชื้อไวรัสหรือ DNA ของ EBV ในเซลล์มะเร็งของผู้ป่วย ทำให้เชื่อว่าเชื้อไวรัสนี้น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก

“สำรวจตนเอง” มีอาการเหล่านี้หรือไม่

      “มีก้อนที่คอ มีเลือดกำเดาไหลเป็นประจำ มองเห็นภาพซ้อน หน้าชาด้านใดด้านหนึ่ง และ หูอื้อ”
อาการดังกล่าวเป็นอาการที่สามารถสังเกตได้ด้วยตนเองว่าเข้าข่ายหรือไม่..? เพราะถ้าหากเกิดอาการดังกล่าวขึ้น อย่านิ่งนอนใจ!! ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้มาก่อน เพราะเซลล์มะเร็งอาจลุกลามไปมากจนยากที่จะเยียวยาได้ การรีบรักษาตั้งแต่เป็นระยะแรก จะช่วยให้รักษาได้ทันท่วงที เพิ่มโอกาสในการหายขาดได้


แผนไทยในพระคัมภีร์ เริ่มเป็นหฤศโรค มุขโรค และ แปรเข้าสู่ทิพยมาลา

      กล่าวไว้เช่นเดียวกันคือจากเป็นไข้ใดๆมาก่อน แล้วเกิดฝีกาฬแทรกในระหว่างไข้พิษ หรือเกิดมีกาฬ(จุดเลือดออกจากพิษความร้อน) เพราะเหตุมาจากพิษโลหิต ทั้งสามคัมภีร์กล่าวไว้เป็นไข้ในทางกำเริบ แล้วแปรไปจากพิษโลหิต แรกๆอาการคล้ายริดสีดวงจมูกแต่มีเสียงแตกก้องๆ ออกทางจมูกเป็นๆหายๆนานเรื้อรัง จนแปรเข้า ฝีครีบกรด ครีบแรด บังเกิดตามครีบชิวหา (ใต้ลิ้นเป็นกลีบๆ รวมพื้นชิวหาบนและล่าง) เมื่อแรกขึ้นมีสัณฐาน เท่าเมล็ดถั่วเขียวและเมล็ดงา แข็งขึ้นมาเหมือนหัวหูด แล้วเจริญขึ้นมีสีแดงดังชาดจิ้ม

      ถ้าไปบังเกิดในโพรงจมูกแล้วทะลุงอกออกมาเรียกฝีครีบแรด
    

      อาการทำให้ลิ้นกระด้าง ให้เจ็บๆ คันๆ และเร่งเกลื่อนเสียแต่ยังอ่อน อย่าปล่อยไว้ ยอดแตกออกมาได้ ถ้าเจริญแก่เข้าแล้ว ก็แตกออกเปื่อยลาม เป็นขุมๆ มีประเภทเหมือนวงสะท้อน ลามไปในชิวหาพื้นบนและล่าง บางทีบวมทะลุลงไปใต้คาง เป็นหนองและ โลหิต ไหลมิได้ขาด เหม็นเหมือน ซากศพ ถ้าใครเป็นถือว่าเป็นกรรม

๑ ยาทาแก้ฝีครีบกรด
      ๑. เบญกานี สีเสียดเทศ สิ่งละ ๑ ส่วน
      ๒. กะเทาะโพบาย เปลือกมะขามขบ สิ่งละ ๑ ส่วน
      ๓. เมล็ดในมะนาว น้ำประสารทองสุทธิ สิ่งละ ๑ ส่วน
 

     เอาเสมอภาค ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำท่าทาแก้พิษฝีอันบังเกิดตามครีบชิวหานั้นหายดีนักฯ

๒ ยากินแก้พิษฝีครีบกรด
      โรกทั้ง ๒ ข้าวเย็นทั้ง ๒ ขันทองพยาบาท
 

      ต้มตามวิธีให้กิน แก้พิษฝีอันชื่อ ครีบกรดในครีบชิวหานั้นหายดีนักฯ

 

ที่มา: ทางแพทย์สายพุทธ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น