วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อาหารบำบัดสำหรับคนเป็นโรคความดันโลหิตสูง



โรคความดันโลหิตสูงเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบมากในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งของสาเหตุมาจากอารมณ์ที่แปรปรวนและการเร่งรีบในชีวิตประจำวัน อีกส่วนที่สำคัญคือการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง โดยโรคไขมันสูงและความดันโลหิตสูงมักเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่ดี นั่นคือกินตามใจปาก ตามใจท้อง หรือกินโดยยึดเอาความอร่อยเป็นที่ตั้ง

ความสำคัญของการเลือกกินอาหาร: อาหารที่เราบริโภคจึงมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพทั้งกายและจิตใจของเรา ดังนั้นการเลือกกินอาหารที่เหมาะสมสามารถทำหน้าที่เป็นยาบำรุง ยาช่วยซ่อมแซม และยารักษาโรคได้


3 สิ่งที่อาหารทำได้:

  • ช่วยบำรุงเลี้ยงร่างกาย: อาหารที่คุณบริโภคมีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการทำงานของร่างกาย. วิตามิน, แร่ธาตุ, โปรตีน, และไขมันที่ดีเป็นต้น เป็นส่วนสำคัญของการรักษาสุขภาพที่ดี
  • ช่วยซ่อมแซมสิ่งสึกหรอในร่างกาย: อาหารที่มีสารต่าง ๆ เช่น วิตามิน C, E, และแคลเซียมมีความสามารถในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • เป็นยารักษาโรค: การเลือกกินอาหารที่มีส่วนผสมที่สามารถป้องกันหรือช่วยรักษาโรคได้, เช่น อาหารที่ต้านอนุมูลอิสระ, ลดความดันโลหิต, และลดระดับไขมันในเลือด.


ตามตำราอายุเวทบอกว่า สรรพสิ่งทั้งหลายมีธาตุพื้นฐานหรือปัญจมหาภูตรูปอยู่ 5 อย่าง ซึ่งคล้ายคลึงกับการแพทย์แผนไทย คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ในร่างกายของเรามีพื้นฐานทั้ง 5 อย่างนี้เหมือนกัน โดยจัดแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ กลุ่มของลมหรือวาตะ กลุ่มของดินและน้ำ ซึ่งเรียกรวมกันว่าเสมหะ และกลุ่มที่ 3 คือ ไฟ

โดยกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงนั้นเกิดจากการสะสมของเสมหะ คือ ดินและน้ำมาก การดูแลและป้องกันการเกิดโรคจึงต้องมาดูกันว่ามีอาหารอะไรบ้างที่เพิ่มดิน และน้ำ (เสมหะ) ให้เรา ซึ่งในอายุเวทได้ระบุไว้ชัดเจนว่าคือ อาหารหวาน อาหารมัน และอาหารเค็ม อาหารนั้นควรเน้นการกินผักและโปรตีนจากพืชหรือจากปลาแทน เพราะเนื้อปลามีไขมันชนิดดี ที่ช่วยขจัดไขมันชนิดเลวออกไปจากร่างกาย ปลาจึงเหมาะสำหรับผู้มีปัญหาความดันโลหิตสูงและไขมันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาทะเล เพราะมีไอโอดีน ส่วนข้าวกล้องหรือข้าวที่ยังไม่ได้ขัดสีมีสารอาหารต่าง ๆ เช่น วิตามิน โปรตีน และแร่ธาตุต่าง ๆ อยู่ครบถ้วน ในขณะที่ข้าวที่ขัดสีแล้ว จะสูญเสียวิตามินไปหมดสิ้น เหลือเพียงแป้งขาวหรือคาร์โบไฮเดรตซึ่งทำให้อ้วนเท่านั้น


การอดอาหารในแนวทางอายุรเวท

      การอดอาหารในแนวทางของอายุเวท ถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความดันโลหิตและไขมันในเลือดอย่างได้ผล เพราะเมื่ออดอาหาร น้ำย่อยในร่างกายจะยังคงออกมาตามธรรมชาติ แต่เมื่อในกระเพาะอาหารไม่มีอาหาร น้ำย่อยก็จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกายแทนและขับสิ่งที่เป็นพิษในร่าง กายออกมา

      หลักการอดอาหาร 1 วันแบบอายุรเวท (**ร่างกายต้องพร้อมมิฉะนั้นอาจจะเป็นลมได้**)

    • อดอย่างแรง คือ งดอาหารและน้ำ
    • อดอย่างปานกลาง คือ ดื่มน้ำได้
    • อดอย่างเบา คือ ดื่มน้ำผลไม้ได้


การกินอย่างอายุรเวท:

การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ที่ครบถ้วน 3 อย่าง: ช่วยบำรุงเลี้ยงร่างกาย, ช่วยซ่อมแซมสิ่งสึกหรอในร่างกาย, และเป็นยารักษาโรค. ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยงใส่เกิดภาวะความดันโลหิตสูง และเน้นกินอาหารที่ไม่แสลงต่อโรค.

หลีกเลี่ยง:

    • อาหารหวาน, อาหารมัน, และอาหารเค็ม.
    • อาหารที่ขัดสี, อาหารที่ผ่านกระบวนการขัดสี.
    • อาหารที่ทำให้เกิดไขมันชนิดเลวในเลือด.

สูตรจัดระเบียบภายในแบบชีวจิต 14 วัน เพื่อสุขภาพที่ดี: การทำสูตร 14 วันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดความดันโลหิตและไขมันในเลือดได้ สูตรนี้ประกอบไปด้วยขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามเนื้อหาที่กล่าวถึง การอดอาหารในแนวทางอายุรเวท การกินอย่างอายุรเวท และการทำสูตรจัดระเบียบภายใน โดยมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้
  1. งดน้ำชา กาแฟ และบุหรี่ ให้ดื่มชาสมุนไพร เช่น ชาเก๊กฮวย มะตูม ดอกคำฝอย แทน
  2. ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน 60 กิโลกรัม วันแรกของรายการให้งดอาหาร ดื่มน้ำมะนาวสด ๆ คั้น 3 ลูก ตอนเช้าและเย็น หลังจากนั้นให้ดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อยวันละ 3 ขวดต้องใช้คำว่าฉิบบ่อยๆๆนะค่ะถ้าดื่มทีละมากๆๆไตอาจทำงานหนักได้ค่ะและควร ดื่มน้ำสมุนไพรสลับบ้างก็ได้ และวันแรกของรายการให้พักผ่อนมากๆๆทำงานเบาๆๆสบายๆๆตลอดวัน
  3. รับประทานอาหาร แต่ 3 วันแรกของรายการให้ปรับอาหารเป็นผักลวก-ข้าวทั้งหมด
  4. วันที่ 4-6 รับประทานอาหารเบา ๆ เช่น ข้าวต้ม ตั้งแต่วันที่ 7 จนถึงวันที 14 จึงรับประทานอาหารได้เต็มที่ (มีอาหารทะเลได้) ตลอดรายการห้ามปรุงอาหารรสจัด
  5. ดื่มน้ำคั้นจากผัก เช่น น้ำแตงกวาผสมมะนาว1ลูกตอนเช้านะค่ะ น้ำขึ้นฉ่ายหรือเซเลอรี่ ครั้งละ 1 แก้ว วันเว้นวัน
  6. ตั้งแต่วันที่ 4 เป็นต้นไป รับประทานอาหารให้หลากหลายแต่ไม่เน้นไปทางของแสลงเช่นของทอด แป้ง อาหารสำเร็จรูป เป็นไปได้อาหารไทยจำพวกต้ม ยำ ทำแกง
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และสามารถช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้.


หมอณัฏฐ์
    
 
 
   

ประโยชน์ของ "ขมิ้นชัน" ทองคำแห่งสุขภาพของคนไทย


ประโยชน์ของ "ขมิ้นชัน" ทองคำแห่งสุขภาพของคนไทย

ประโยชน์ของ "ขมิ้นชัน" ทองคำแห่งสุขภาพของคนไทย


ขมิ้นชัน หรือที่ชาวโลกเรียกกันว่า "กระทิงแดง" ไม่เพียงเป็นเครื่องเทศที่เสริมรสชาติให้กับอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมานานในศาสตร์อายุรเวทและการวิจัยทางการแพทย์ ซึ่งมีข้อมูลการวิจัยรับรองถึงประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆ ที่ทำให้ขมิ้นชันเริ่มมีที่มาและความน่าสนใจอย่างมาก

การรักษาโรคกระเพาะอาหารและข้อเสื่อม:
ขมิ้นชันมีสารสกัดที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ที่เป็นสาเหตุของแผลในกระเพาะอาหาร การที่ขมิ้นชันสามารถกระตุ้นการหลั่งน้ำดีและเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยให้กระเพาะอาหารแข็งแรงมากขึ้น ไม่เพียงนี้เท่านั้น ยังมีฤทธิ์ลดปวด ต้านการอักเสบ โดยลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหารที่มาจากความเครียด แอลกอฮอล์ และยาแก้ปวด

การป้องกันและรักษามะเร็ง:
ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ในการป้องกันและรักษามะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร การศึกษาในหนูทดลองและเซลล์มะเร็งของมนุษย์ในหลอดทดลองพบว่า ขมิ้นชันสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้

การนำขมิ้นชันมาใช้ภายนอก:
การใช้ขมิ้นชันทาผิวหนังช่วยบำรุงผิว ลดการอักเสบ ลดการแพ้ และการระคายเคืองของผิว ทำให้ผิวดูสดใส นอกจากนี้ยังลดรอยโรคจากการติดเชื้อรา

ความน่าสนใจเพิ่มเติม:
สำหรับคนที่ต้องการสุขภาพที่ดีและอยากรู้ถึงเคล็ดลับในการชะลอวัย การทานขมิ้นชันเป็นประจำเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทีเดียว ไม่เพียงเพราะความสามารถในการช่วยชะลอวัยด้านความงามเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในการต้านโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ตามผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์

ผู้บริโภคในยุคที่ความต้องการสุขภาพมีความสำคัญ:
ในบรรดาผู้ที่ต้องการสุขภาพที่ดีและให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง การทานขมิ้นชันในอาหารเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างมาก ซึ่งเชื่อว่าเป็นหนึ่งในเคล็ดลับที่ทำใ


การใช้ขมิ้นชัน:
  • สำหรับการรักษาโรคกระเพาะอาหารและข้อเสื่อม:

      • ทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร
      • ให้เพิ่มปริมาณการทานหากใช้เพื่อรักษาโรคกระเพาะอาหาร
  • สำหรับบำรุงสุขภาพ:

      • ทานขมิ้นชันเพียงวันละ 500-1000 มิลลิกรัม

ผลข้างเคียง:
ส่วนใหญ่ของผู้ที่ทานขมิ้นชันไม่มีผลข้างเคียงมากนัก แต่บางรายอาจมีอาการท้องเสียเล็กน้อย และควรหลีกเลี่ยงการใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรโดยไม่รับประทาน

สรุป:
การใช้ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรเครื่องเทศไม่เพียงทำให้อาหารอร่อยมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคกระเพาะอาหาร หรือการลดอาการปวดและอักเสบในผู้ป่วยข้อเสื่อม นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ป้องกันมะเร็ง และช่วยในการบำรุงผิวหนัง ให้คุณมีส



หมอณัฏฐ์