วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของผงฟู หรือ เบกกิ้งโซดา (Baking Soda)

ประโยชน์เยอะนะ....ผงฟู หรือ เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) 

ผงฟูมีชื่อทางเคมีว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต มีประโยชน์มากมายตามที่หามาให้ เชิญอ่านค่ะ
1.ซักผ้า ไม่ว่าจะซักมือหรือซักเครื่อง ก็แค่ใส่ผงฟู แทน ผงซักฟอก น่ะแหละ ข้อดีคือ ซักเสื้อผ้าสะอาด หมดกลิ่นเหม็นอับ อ่อนโยนต่อผิวบอบบาง แพ้ง่าย แม้แต่ผิวเด็ก น้ำ ที่ซักแล้วก็ไม่ทำลายระบบนิเวศน์ด้วย แถมราคาก็ประหยัดกว่าผงซักฟอกทั่วๆ ไป สำหรับคราบ อาจใช้ผงฟูผสมน้ำป้ายๆ แล้วขยี้ค่ะ

2.ล้างจาน นอกจากซักผ้าแล้ว ใช้ล้างจานก็ได้ เพราะผงฟู ขจัดคราบมันและกลิ่นได้ดี เอาผงฟูเทแล้วใช้ฟองน้ำขัดล้าง หรือผสมผงฟูกับน้ำ แล้วเอาฟองน้ำจุ่มล้างจาน ก็ได้ แล้วแต่สะดวก แต่ถ้าจานมันมากๆ คงต้องใช้ตัวช่วยเช่น เอาทิชชูเช็ดปากแล้วปาดคราบมันออกก่อนล้าง ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ก็ยังได้

3. ล้างห้องน้ำ ใช้ผงฟูเป็นผงขัด-ล้าง แทนการใช้น้ำยาล้างห้องน้ำกรดกัดกร่อนรุนแรง ถนอมสุขภาพคนล้างค่ะ ถึงห้องน้ำจะไม่ขาวจั๊วะใสปิ๊งแบบน้ำยาล้างห้องน้ำทั่วไปให้คุณได้ แต่คุณได้ช่วยสิ่งแวดล้อม อนุรักษ์น้ำค่ะ ถ้าอยากใช้ขัดหัวก๊อกน้ำ หรือวัสดุที่ต้องการความแวววาว อาจบีบน้ำมะนาว หรือใช้น้ำส้มสายชูผสมกับผงฟู แล้วขัดๆ ค่ะ วาว แน่นอน

4. ล้างผัก เป็นวิธีที่สะอาดและปลอดภัยที่สุด ง่ายๆ แค่ผสมผงฟู ซัก 2 ช้อนโต๊ะหรือมากกว่า น้ำเยอะใช้เยอะหน่อย ละลายน้ำธรรมดา หรือน้ำอุ่นนิดๆ ใช้แช่ผัก ผลไม้ ขจัดสิ่งสกปรกและสารพิษได้ดีมาก ปลอดภัย เพราะผงฟูกินได้

5. ขจัดกลิ่นอับ กลิ่นเหม็น เช่น ตู้เย็น ตู้รองเท้า ในรองเท้า ห้องที่ทาสีใหม่ ฯลฯ ก็เอาผงฟู เทใส่จาน ถาด กระป๋อง หรือโปรยๆ ลงไป ณ บริเวณที่อับ เหม็น แต่ต้องปิดตู้ ปิดห้อง ให้มิดชิดนะคะ ทิ้งให้มันดูด ซักวัน สองวัน หรือวางไว้ตลอด ช่วยดูดกลิ่นเหม็นได้ดี พอๆ กับใช้ คาร์บอน (ถ่าน) เลยค่ะ

6.แปรงฟัน ลดหินปูน กลิ่นปาก และช่วยให้ฟันขาวได้น่าทึ่ง

7.ช่วยเรอ ผงฟูผสมน้ำดื่ม ช่วยให้เรอแก้อาการท้องอืดได้ค่ะ

เนื่องจากผงฟูมีอนุภาคเล็กเป็นรูปทรงผลึกที่อ่อนนุ่ม จึงช่วยในการขัดถู ยังมีสรรพคุณในการดูดกลิ่นเหม็น ดูดความชื่น ปรับค่าความเป็นกรดด่าง ฆ่าเชื้อโรค ไม่กัดกร่อนผิวภาชนะ จึงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในบ้านเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพตามตำรับและสูตรต่างๆ ดังต่อไปนี้ 

1. ขจัดคราบสกปรกบนขอบและบานหน้าต่าง ด้วยฟองน้ำเปียกๆ ที่โรยด้วยผงฟูเล็กน้อยใช้ล้างด้วยฟองน้ำและเช็ดแห้ง

2. ล้างหน้าต่างบานเกล็ดด้วยน้ำอุ่นที่ผสมผงฟู3/4 ถ้วยตวงราดน้ำให้เปียกทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมง ก่อนใช้แปลงขัดออก

3. ล้างหน้าต่างอลูมิเนียมและ Door Sereens โดยใช้แปลงเปียกๆ จิ้มผงฟูขัดออกใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่มๆ ล้างให้สะอาดทำความสะอาดงานไม้

4. ทำความสะอาดงานจากไม้ฝาผนังหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ โดยการผสม น้ำส้มสายชู ? ถ้วยตวง ผงฟู ? ถ้วยตวง น้ำอุ่น 4.5 ลิตร

5. ถ้าพื้นผิวผนังสกปรกมีคราบเหนียวเหนะหนะให้ใช้แอมโมเนีย 1 ถ้วยตวง นำไปเช็ดให้ทั่วฝาผนังด้วยฟองน้ำหมาดๆ อย่าใช้ผ้าขนหนูเปียก ทิ้งไว้สัก 2-3 นาที ก่อนที่จะเช็ดคราบสกปรกออก (ควรจำไว้เสมอว่าเครื่องเรือนไม้มีลักษณะแตกต่างกันดังนั้นถ้าไม่แน่ใจให้ทดลองเฉพาะพื้นที่เล้กๆ ก่อน)

6. รอยด่างเป็นวงหรือรอยจุดบนเฟอร์นิเจอร์ไม้ หากเกิดความร้อนบางครั้งก็อาจขัดออกได้ด้วยการผสมยาสีฟัน และผงฟูในสัดส่วนเท่าๆ กันใช้ผ้านุ่มเช็ดออกเบาๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ขัดเงาด้วยก็ได้หากจำเป็น

7. ขจัดคราบหยดน้ำบนพื้นไม้โดยการใช้ผงฟูกับกับผ้าขี้ริ้วหมาดๆ เช็ดออกจำไว้ว่าเครื่องเรือนที่ทำจากไม้ไม่ควรทำให้เปียก 

ความสะอาดพื้นผิว
1. ใช้ฟองน้ำเปียกๆ เช็ดผงฟูเพื่อเช้ดคราบสีเทียนที่ติดบนผนังชนิดล้างๆด้ เช็ดถูเบาๆ วิธีนี้จะช่วยทำความสะอาดคราบสกปรกส่วนใหญ่อื่นๆ รวมทั้ง คราบน้ำมัน ดินสอ และปากกา มาร์คเกอร์ได้ด้วย

2. ใช้ผงฟูผสมน้ำเปียกๆ ข้นๆ เพื่อเช็ดถูคราบสกปรกที่เกิดจากการรอยลากไปมาบนพื้นเสื่อน้ำมัน

3. ขจัดคราบหรือหยดน้ำหมึกออกจากพื้น เสื่อน้ำมันโดยการใช้ผงฟูข้นๆ ป้ายบริเวณสกปรกทิ้งไว้จนแห้งสักครู่ก่อนจะเช้ดออกและใช้ผงฟูใหม่ๆ ขัดออกอีกครั้ง

เบ็ดเตล็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับเกี่ยวกับการดูแลรักษา
1. ล้างผงฟูสัก 1 ถ้วยตวงลงในโถส้วมหรือท่อน้ำทิ้งเป็นประจำสัปดาห์ละครั้งจะช่วยคงสภาพความเป็นกรด-ด่าง ระบบของถังบำบัดของเสีย สภาพความเป็นกรดด่างในระดับทที่เหมาะสมจะช่วยให้แบ็คทีเรียแตกตัวทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันการอุดตันและตกค้างในแทงค์และท่อน้ำทิ้ง การใช้ผงฟูสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้แทงค์คอนกรีตหรือแทงค์ที่ทำจากโลหะผุกร่อนง่าย โดยเฉพาะบริเวณฝาแทงคีที่ต้องสัมผัสกับไอระเหยที่ทำให้ผุกร่อนง่าย

2. ผสมผงฟูกับน้ำเล็กน้อยให้เปียกๆ ข้นๆ เพื่ออุดรูตามผนังที่มีรอยปูนแตกร้าว เพื่อซ่อมแซมเป็นการชั่วคราว เมื่อมันแห้งแล้วจะดูกลมกลืนเข้ากับฝาผนังปูนพลาสเตอร์ขาว เมื่อต้องการซ่อมแซมอย่างถาวรให้ผสมมผลฟูกับกาว (ลาเท็กซ์) ซ่อมแซมสีขาวที่ใช้ตามบ้านเรือน

3. ทำความสะอาดผนังที่มีคราบดำขงอเขม่าควัน ด้วยการใช้เศษผ้าชื่นๆ และผงฟูละลายเข้มข้น

4. ทำความสะอาดอุปกรณ์ตกแต่งเครื่องเรือนโดยการโรยผงฟูให้ทั่วเครื่องตกแต่ง ทิ้งไว้สักครู่จากนั้นจึงดูดออก กลิ่นเขม่าควันจะถูกกำจัดออกจนหมอจด

5. ใช้ผงฟูทำความสะอาดเครื่องประดับลวดลายลูกไม้ประเภทต่างๆ

6. ทำความสะอาดแป้นพิมพ์ดีด ด้วยแปลงสีฟันขนอ่อนๆ ขัดโดยใช้ผงฟู 4 ชอนโต๊ะละลายกับน้ำ 1 ถ้วยตวง จากนั้นใช้กระดาษชำระเช็ดออก

7. แช่ไม้ถูพื้นหรือไม้กวาดในน้ำ 1ถัง ละลายผงฟู 4 ช้อนชา แต่ให้แช่หลังจากที่ชำระสิ่งสกปรกออกไปแล้ววิธีนี้จะเป็นการกำจัดกลิ่นเหม็นอับตกค้างบนไม้ถูพื้นตากให้แห้ง

บ้านสุขภาพ
1. ป้องกันไม่ให้ภาชนะกระเป๋าเดินทางของคุณมีกลิ่นเหม็นอับเหม็นชื้นจากเชื้อรา โดยการโรยผงฟูลงบนภาชนะข้าวของเครื่องใช้ก่อนที่จะเก็บเข้าที่เข้าทางอย่างมิดชิด

2. โรยผงฟูในโถส้วม อ่างน้ำทิ้ง ใน อ่างล้างหน้า อ่างล้างจานชาม อ่างอาบน้ำ หรือโรยลงบนฟักบัวทิ้งไว้ ก่อนที่คุณจะหยุดใช้ชั่วคราว เพื่อไปพักร้อน วิธีนี้จะช่วยป้องกันกลิ่นเหม็นอับ กลิ่นเก่าเก็บตกค้าง

3. ขจัดกลิ่นเหม็นอับอกจากผ้านวม ฟ้าห่มหลังจากทที่คุณเก็บไว้นานๆ โรยผงฟูลงบนผ้านั้น ม้วนเก็บไว้สัก 2 ชั่วโมง จากนั้นสะบัดออกและตบให้ฟูหรือใช้ไดร์เป่าลมให้ฟูโดยไม่ใช้ความร้อนเป่า

4. นำผงปิดฝากล่องตั้งทิ้งไว้ในห้องที่โรงงาน เพื่อขจัดกลิ่นสี หรือกลิ่นสารระเหย หรือกลิ่นน้ำยาขัดเคลือบวัสดุต่างๆ

5. ช่วยลดกลิ่นตกค้างกันของบุหรี่ โดยการโรยผงฟูสักเล็กน้อยลงบนถาดเขี่ยบุรี่

6. ขจัดกลิ่นตกค้างบนผ้าปูโต๊ะโดยการแช่ผ้าในน้ำสารละลายผงฟู
กำจัดกลิ่นรองเท้าด้วยผงฟู

1. วางถุงหรือซองผงฟู ไว้ในรองเท้าผ้าใบหุ้มซ้น เพื่อไม่ให้รองเท้ามีกลิ่นอับเหม็นหลังการใส่และมีกลิ่นเหม็นตกค้างอยู่ในตู้รองเท้า วิธีนี้คุณอาจจะใช้ผงฟูผสมกับแป้งหอมกลิ่นที่คุณชอบผสมรวมกันไว้ในซองตามที่ต้องการ

2. โรยผงฟูในรองเท้าผงฟูจะช่วยดูดซับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออกไป ทิ้งไว้ข้ามคืน รุ่งขึ้นคุณแค่เคาะผงฟูออก

ประโยชน์ของ กับร่างกายเรามีดังนี้
1. บรรเทาอาการผิวไหม้แดด ผสมเบคกิ้งโซดาลงในน้ำอุ่นสำหรับอาบจะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนที่เกิดจากผิวไหม้จากแดดได้

2. แก้เจ็บคอ ผสมเบคกิ้งโซดาครึ่งช้อนชาลงในน้ำเปล่าใช้กลั้วคอทุก ๆ 4 ชั่วโมง จะช่วยลดอาการเจ็บคออันเกิดจากกรด รวมทั้งยังช่วยรักษาแผลในช่องปากได้ดีอีกด้วย

3. น้ำยาดับกลิ่นปาก 
- ผสมเบคกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะ ในน้ำ 1 แก้ว สามารถดับกลิ่นหอม ,กระเทียม ได้ ถ้าใช้เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำอุ่น 1 แก้ว และผสมเกลือใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากได้
- ผสมเบคกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำอุ่น 1 ถ้วย ใช้บ้วนปากจะช่วยดับกลิ่นปากได้

4. ขัดฟันให้ขาว นำเบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา ใช้แปรงสีฟันจุ่มแล้วขัดฟันเบา ๆ บ้วนน้ำเปล่าจนสะอาดคราบชา กาแฟ จะหายไป (ห้ามทำเวลาป่วยเพราะมะนาวมีกรดสูงอาจทำลายเคลือบฟันได้)

5. ทำสครับขัดหน้า 
- นำเบคกิ้งโซดา 3 ส่วน น้ำเปล่า 1 ส่วน ผสมกันให้พอเปียก ๆ แล้วขัดหน้าเบา ๆ จนรู้สึกว่าหน้าสะอาดแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า
- นำเบคกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะ ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำ 2 ช้อนตวง นำมาผสมให้เข้ากันแล้วนำมาขัดหน้าเบา ๆ เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นจะรู้สึกว่าหน้าสะอาดและนุ่ม

6. ทำสครับขัดผิว นำเบคกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย เกลือ 1/2 ถ้วย มะนาว 1 ลูก น้ำมันทาผิว 2 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกันก่อนจะใช้แล้วนำมาขัดผิวกายระหว่างอาบน้ำ

7. สปาเท้า นำเบคกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย เกลือทะเล 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอมระเหยกลิ่นมินต์ และนำน้ำอุ่นใส่ในกะละมังแช่เท้า จะช่วยฆ่าเชื้อโรค ดับกลิ่นเท้า รวมทั้งความร้อนจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้าได้

8. เส้นผม >> เพียงแค่นำผงฟูหนึ่งช้อนชามาผสมแชมพู แล้วนำไปสระผมตามปกติ สูตรนี้จะช่วยขจัดสารตกค้างจากผลิตภัณฑ์แต่งผม และขอบอกอีกสักนิดว่าสูตรนี้เหมาะสมกับผมเส้นเล็กนะจ๊ะ

9.ขัดหน้า >> ผสมผงฟูครึ่งช้อนชากับ cleanser ที่น้องๆ ใช้อยู่ เมื่อหน้าเปียกหมาดๆ ให้นำส่วนผสมที่เตรียมไว้แล้วมานวดให้ทั่วใบหน้า และล้างออกด้วยน้ำสะอาด แต่ถ้าน้องๆ มีปัญหาสิว ให้เพิ่มยาแอสไพรินหนึ่งเม็ดที่บดเรียบร้อยแล้วเข้าไปด้วย เพราะในยาชนิดนี้มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก ที่จะเป็นตัวช่วยกำราบแบคทีเรียได้

10.หวีและแปรง >> เทน้ำอุ่นเทลงในภาชนะที่เตรียมไว้ แล้วเติมผงฟูลงไป 2-3 ช้อนโต๊ะ แช่หวีและแปรงทิ้งไวั้ประมาณ 2-3 นาที หลังจากนั้นนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด และพึ่งแดดให้แห้ง ซึ่งวิธีจะเป็นการขจัดสารที่ตกค้างอยู่ให้ออกไป

11.ผิว >> ผิวจะนุ่มน่าสัมผัสมากขึ้น ถ้าน้องๆ ลองนำผงฟูประมาณหนึ่งหยิบมือเติมลงในน้ำอุ่น แล้วแช่มือไว้ประมาณ 2-3 นาที หลังจากนั้นล้างมือด้วยน้ำสะอาด 

ความรู้เกี่ยวกับผงฟู
ในการใช้ผงฟูแต่ละครั้งมักจะใช้ไม่หมดผงฟูที่เหลือควรเก็บใส่กระป๋องปิดฝาให้สนิทวิธีทดสอบว่าผงฟูนั้นยังมีคุณภาพดีหรือไม่ให้เอาน้ำใส่ถ้วยแก้วไว้เล็กน้อย แล้วตักผงฟูเทลงไปนิดหน่อยในน้ำ ถ้าน้ำเดือดเป็นฟองก็แสดงว่าคุณภาพของผงฟูนั้นยังดีอยู่ ผงฟูเมื่อใช้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรปิดกระป๋องให้สนิท ถ้าปิดไม่สนิทความชื้นภายนอกจะเข้าไปทำปฏิกิริยา ทำให้ผงฟูชื้นและเสื่อมคุณภาพ 

โดย ทางแพทย์สายพุทธ








      ผงฟูมีชื่อทางเคมีว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต มีประโยชน์มากมาย

     1.ซักผ้า ไม่ว่าจะซักมือหรือ ซักเครื่อง ก็แค่ใส่ผงฟู แทน ผงซักฟอก น่ะแหละ ข้อดีคือ ซักเสื้อผ้าสะอาด หมดกลิ่นเหม็นอับ อ่อนโยนต่อผิวบอบบาง แพ้ง่าย แม้แต่ผิวเด็ก น้ำ ที่ซักแล้วก็ไม่ทำลายระบบนิเวศน์ด้วย แถมราคาก็ประหยัดกว่าผงซักฟอกทั่วๆ ไป สำหรับคราบ อาจใช้ผงฟูผสมน้ำป้ายๆ แล้วขยี้

      2.ล้างจาน นอกจากซักผ้าแล้ว ใช้ล้างจานก็ได้ เพราะผงฟู ขจัดคราบมันและกลิ่นได้ดี เอาผงฟูเทแล้วใช้ฟองน้ำขัดล้าง หรือผสมผงฟูกับน้ำ แล้วเอาฟองน้ำจุ่มล้างจาน ก็ได้ แล้วแต่สะดวก แต่ถ้าจานมันมากๆ คงต้องใช้ตัวช่วยเช่น เอาทิชชูเช็ดปากแล้วปาดคราบมันออกก่อนล้าง ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ก็ยังได้

      3. ล้างห้องน้ำ ใช้ผงฟูเป็นผงขัด-ล้าง แทนการใช้น้ำยาล้างห้องน้ำกรดกัดกร่อนรุนแรง ถนอมสุขภาพคนล้างค่ะ ถึงห้องน้ำจะไม่ขาวจั๊วะใสปิ๊งแบบน้ำยาล้างห้องน้ำทั่วไปให้คุณได้ แต่คุณได้ช่วยสิ่งแวดล้อม อนุรักษ์น้ำค่ะ ถ้าอยากใช้ขัดหัวก๊อกน้ำ หรือวัสดุที่ต้องการความแวววาว อาจบีบน้ำมะนาว หรือใช้น้ำส้มสายชูผสมกับผงฟู แล้วขัดๆวาว แน่นอน

      4. ล้างผัก เป็นวิธีที่สะอาดและปลอดภัยที่สุด ง่ายๆ แค่ผสมผงฟู ซัก 2 ช้อนโต๊ะหรือมากกว่า น้ำเยอะใช้เยอะหน่อย ละลายน้ำธรรมดา หรือน้ำอุ่นนิดๆ ใช้แช่ผัก ผลไม้ ขจัดสิ่งสกปรกและสารพิษได้ดีมาก ปลอดภัย เพราะผงฟูกินได้

     5. ขจัดกลิ่นอับ กลิ่นเหม็น เช่น ตู้เย็น ตู้รองเท้า ในรองเท้า ห้องที่ทาสีใหม่ ฯลฯ ก็เอาผงฟู เทใส่จาน ถาด กระป๋อง หรือโปรยๆ ลงไป ณ บริเวณที่อับ เหม็น แต่ต้องปิดตู้ ปิดห้อง ให้มิดชิดนะคะ ทิ้งให้มันดูด ซักวัน สองวัน หรือวางไว้ตลอด ช่วยดูดกลิ่นเหม็นได้ดี พอๆ กับใช้ คาร์บอน (ถ่าน) เลยค่ะ

     6.แปรงฟัน ลดหินปูน กลิ่นปาก และช่วยให้ฟันขาวได้น่าทึ่ง

     7.ช่วยเรอ ผงฟูผสมน้ำดื่ม ช่วยให้เรอแก้อาการท้องอืดได้ค่ะ

     เนื่องจากผงฟูมีอนุภาคเล็กเป็นรูปทรงผลึกที่อ่อนนุ่ม จึงช่วยในการขัดถู ยังมีสรรพคุณในการดูดกลิ่นเหม็น ดูดความชื่น ปรับค่าความเป็นกรดด่าง ฆ่าเชื้อโรค ไม่กัดกร่อนผิวภาชนะ จึงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในบ้านเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพตามตำรับและสูตร ต่างๆ ดังต่อไปนี้

     1. ขจัดคราบสกปรกบนขอบและบานหน้าต่าง ด้วยฟองน้ำเปียกๆ ที่โรยด้วยผงฟูเล็กน้อยใช้ล้างด้วยฟองน้ำและเช็ดแห้ง

     2. ล้างหน้าต่างบานเกล็ดด้วยน้ำอุ่นที่ผสมผงฟู3/4 ถ้วยตวงราดน้ำให้เปียกทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมง ก่อนใช้แปลงขัดออก

     3. ล้างหน้าต่างอลูมิเนียมและ Door Sereens โดยใช้แปลงเปียกๆ จิ้มผงฟูขัดออกใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่มๆ ล้างให้สะอาดทำความสะอาดงานไม้

     4. ทำความสะอาดงานจากไม้ฝาผนังหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ โดยการผสม น้ำส้มสายชู ? ถ้วยตวง ผงฟู ? ถ้วยตวง น้ำอุ่น 4.5 ลิตร

     5. ถ้าพื้นผิวผนังสกปรกมีคราบเหนียวเหนะหนะให้ใช้แอมโมเนีย 1 ถ้วยตวง นำไปเช็ดให้ทั่วฝาผนังด้วยฟองน้ำหมาดๆ อย่าใช้ผ้าขนหนูเปียก ทิ้งไว้สัก 2-3 นาที ก่อนที่จะเช็ดคราบสกปรกออก (ควรจำไว้เสมอว่าเครื่องเรือนไม้มีลักษณะแตกต่างกันดังนั้นถ้าไม่แน่ใจให้ ทดลองเฉพาะพื้นที่เล้กๆ ก่อน)

     6. รอยด่างเป็นวงหรือรอยจุดบนเฟอร์นิเจอร์ไม้ หากเกิดความร้อนบางครั้งก็อาจขัดออกได้ด้วยการผสมยาสีฟัน และผงฟูในสัดส่วนเท่าๆ กันใช้ผ้านุ่มเช็ดออกเบาๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ขัดเงาด้วยก็ได้หากจำเป็น

     7. ขจัดคราบหยดน้ำบนพื้นไม้โดยการใช้ผงฟูกับกับผ้าขี้ริ้วหมาดๆ เช็ดออกจำไว้ว่าเครื่องเรือนที่ทำจากไม้ไม่ควรทำให้เปียก

ความสะอาดพื้นผิว
      1. ใช้ฟองน้ำเปียกๆ เช็ดผงฟูเพื่อเช้ดคราบสีเทียนที่ติดบนผนังชนิดล้างๆด้ เช็ดถูเบาๆ วิธีนี้จะช่วยทำความสะอาดคราบสกปรกส่วนใหญ่อื่นๆ รวมทั้ง คราบน้ำมัน ดินสอ และปากกา มาร์คเกอร์ได้ด้วย

     2. ใช้ผงฟูผสมน้ำเปียกๆ ข้นๆ เพื่อเช็ดถูคราบสกปรกที่เกิดจากการรอยลากไปมาบนพื้นเสื่อน้ำมัน

     3. ขจัดคราบหรือหยดน้ำหมึกออกจากพื้น เสื่อน้ำมันโดยการใช้ผงฟูข้นๆ ป้ายบริเวณสกปรกทิ้งไว้จนแห้งสักครู่ก่อนจะเช้ดออกและใช้ผงฟูใหม่ๆ ขัดออกอีกครั้ง

เบ็ดเตล็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับเกี่ยวกับการดูแลรักษา
      1. ล้างผงฟูสัก 1 ถ้วยตวงลงในโถส้วมหรือท่อน้ำทิ้งเป็นประจำสัปดาห์ละครั้งจะช่วยคงสภาพความ เป็นกรด-ด่าง ระบบของถังบำบัดของเสีย สภาพความเป็นกรดด่างในระดับทที่เหมาะสมจะช่วยให้แบ็คทีเรียแตกตัวทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันการอุดตันและตกค้างในแทงค์และท่อน้ำทิ้ง การใช้ผงฟูสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้แทงค์คอนกรีตหรือแทงค์ที่ทำจากโลหะผุ กร่อนง่าย โดยเฉพาะบริเวณฝาแทงคีที่ต้องสัมผัสกับไอระเหยที่ทำให้ผุกร่อนง่าย

     2. ผสมผงฟูกับน้ำเล็กน้อยให้เปียกๆ ข้นๆ เพื่ออุดรูตามผนังที่มีรอยปูนแตกร้าว เพื่อซ่อมแซมเป็นการชั่วคราว เมื่อมันแห้งแล้วจะดูกลมกลืนเข้ากับฝาผนังปูนพลาสเตอร์ขาว เมื่อต้องการซ่อมแซมอย่างถาวรให้ผสมมผลฟูกับกาว (ลาเท็กซ์) ซ่อมแซมสีขาวที่ใช้ตามบ้านเรือน

     3. ทำความสะอาดผนังที่มีคราบดำขงอเขม่าควัน ด้วยการใช้เศษผ้าชื่นๆ และผงฟูละลายเข้มข้น

     4. ทำความสะอาดอุปกรณ์ตกแต่งเครื่องเรือนโดยการโรยผงฟูให้ทั่วเครื่องตกแต่ง ทิ้งไว้สักครู่จากนั้นจึงดูดออก กลิ่นเขม่าควันจะถูกกำจัดออกจนหมอจด

     5. ใช้ผงฟูทำความสะอาดเครื่องประดับลวดลายลูกไม้ประเภทต่างๆ

     6. ทำความสะอาดแป้นพิมพ์ดีด ด้วยแปลงสีฟันขนอ่อนๆ ขัดโดยใช้ผงฟู 4 ชอนโต๊ะละลายกับน้ำ 1 ถ้วยตวง จากนั้นใช้กระดาษชำระเช็ดออก

      7. แช่ไม้ถูพื้นหรือไม้กวาดในน้ำ 1ถัง ละลายผงฟู 4 ช้อนชา แต่ให้แช่หลังจากที่ชำระสิ่งสกปรกออกไปแล้ววิธีนี้จะเป็นการกำจัดกลิ่นเหม็น อับตกค้างบนไม้ถูพื้นตากให้แห้ง

บ้าน / สุขภาพ
      1. ป้องกันไม่ให้ภาชนะกระเป๋าเดินทางของคุณมีกลิ่นเหม็นอับเหม็นชื้นจากเชื้อรา โดยการโรยผงฟูลงบนภาชนะข้าวของเครื่องใช้ก่อนที่จะเก็บเข้าที่เข้าทางอย่าง มิดชิด

     2. โรยผงฟูในโถส้วม อ่างน้ำทิ้ง ใน อ่างล้างหน้า อ่างล้างจานชาม อ่างอาบน้ำ หรือโรยลงบนฟักบัวทิ้งไว้ ก่อนที่คุณจะหยุดใช้ชั่วคราว เพื่อไปพักร้อน วิธีนี้จะช่วยป้องกันกลิ่นเหม็นอับ กลิ่นเก่าเก็บตกค้าง

     3. ขจัดกลิ่นเหม็นอับอกจากผ้านวม ฟ้าห่มหลังจากทที่คุณเก็บไว้นานๆ โรยผงฟูลงบนผ้านั้น ม้วนเก็บไว้สัก 2 ชั่วโมง จากนั้นสะบัดออกและตบให้ฟูหรือใช้ไดร์เป่าลมให้ฟูโดยไม่ใช้ความร้อนเป่า

     4. นำผงปิดฝากล่องตั้งทิ้งไว้ในห้องที่โรงงาน เพื่อขจัดกลิ่นสี หรือกลิ่นสารระเหย หรือกลิ่นน้ำยาขัดเคลือบวัสดุต่างๆ

     5. ช่วยลดกลิ่นตกค้างกันของบุหรี่ โดยการโรยผงฟูสักเล็กน้อยลงบนถาดเขี่ยบุรี่

     6. ขจัดกลิ่นตกค้างบนผ้าปูโต๊ะโดยการแช่ผ้าในน้ำสารละลายผงฟู

กำจัดกลิ่นรองเท้าด้วยผงฟู
     1. วางถุงหรือซองผงฟู ไว้ในรองเท้าผ้าใบหุ้มซ้น เพื่อไม่ให้รองเท้ามีกลิ่นอับเหม็นหลังการใส่และมีกลิ่นเหม็นตกค้างอยู่ใน ตู้รองเท้า วิธีนี้คุณอาจจะใช้ผงฟูผสมกับแป้งหอมกลิ่นที่คุณชอบผสมรวมกันไว้ในซองตามที่ ต้องการ

     2. โรยผงฟูในรองเท้าผงฟูจะช่วยดูดซับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออกไป ทิ้งไว้ข้ามคืน รุ่งขึ้นคุณแค่เคาะผงฟูออก

ประโยชน์ของผงฟู กับร่างกายเรา  มีดังนี้
      1. บรรเทาอาการผิวไหม้แดด ผสมเบคกิ้งโซดาลงในน้ำอุ่นสำหรับอาบจะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนที่เกิดจากผิวไหม้จากแดดได้

      2. แก้เจ็บคอ ผสมเบคกิ้งโซดาครึ่งช้อนชาลงในน้ำเปล่าใช้กลั้วคอทุก ๆ 4 ชั่วโมง จะช่วยลดอาการเจ็บคออันเกิดจากกรด รวมทั้งยังช่วยรักษาแผลในช่องปากได้ดีอีกด้วย

      3. น้ำยาดับกลิ่นปาก
           - ผสมเบคกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะ ในน้ำ 1 แก้ว สามารถดับกลิ่นหอม ,กระเทียม ได้ ถ้าใช้เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำอุ่น 1 แก้ว และผสมเกลือใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากได้

           - ผสมเบคกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำอุ่น 1 ถ้วย ใช้บ้วนปากจะช่วยดับกลิ่นปากได้
 
     4. ขัดฟันให้ขาว นำเบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา ใช้แปรงสีฟันจุ่มแล้วขัดฟันเบา ๆ บ้วนน้ำเปล่าจนสะอาดคราบชา กาแฟ จะหายไป (ห้ามทำเวลาป่วยเพราะมะนาวมีกรดสูงอาจทำลายเคลือบฟันได้)

     5. ทำสครับขัดหน้า
          - นำเบคกิ้งโซดา 3 ส่วน น้ำเปล่า 1 ส่วน ผสมกันให้พอเปียก ๆ แล้วขัดหน้าเบา ๆ จนรู้สึกว่าหน้าสะอาดแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า

          - นำเบคกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะ ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำ 2 ช้อนตวง นำมาผสมให้เข้ากันแล้วนำมาขัดหน้าเบา ๆ เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นจะรู้สึกว่าหน้าสะอาดและนุ่ม

     6. ทำสครับขัดผิว นำเบคกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย เกลือ 1/2 ถ้วย มะนาว 1 ลูก น้ำมันทาผิว 2 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกันก่อนจะใช้แล้วนำมาขัดผิวกายระหว่างอาบน้ำ

     7. สปาเท้า นำเบคกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย เกลือทะเล 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอมระเหยกลิ่นมินต์ และนำน้ำอุ่นใส่ในกะละมังแช่เท้า จะช่วยฆ่าเชื้อโรค ดับกลิ่นเท้า รวมทั้งความร้อนจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้าได้

     8. เส้นผม >> เพียงแค่นำผงฟูหนึ่งช้อนชามาผสมแชมพู แล้วนำไปสระผมตามปกติ สูตรนี้จะช่วยขจัดสารตกค้างจากผลิตภัณฑ์แต่งผม และขอบอกอีกสักนิดว่าสูตรนี้เหมาะสมกับผมเส้นเล็กนะจ๊ะ

      9.ขัดหน้า >> ผสมผงฟูครึ่งช้อนชากับ cleanser ที่น้องๆ ใช้อยู่ เมื่อหน้าเปียกหมาดๆ ให้นำส่วนผสมที่เตรียมไว้แล้วมานวดให้ทั่วใบหน้า และล้างออกด้วยน้ำสะอาด แต่ถ้าน้องๆ มีปัญหาสิว ให้เพิ่มยาแอสไพรินหนึ่งเม็ดที่บดเรียบร้อยแล้วเข้าไปด้วย เพราะในยาชนิดนี้มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก ที่จะเป็นตัวช่วยกำราบแบคทีเรียได้

     10.หวีและแปรง >> เทน้ำอุ่นเทลงในภาชนะที่เตรียมไว้ แล้วเติมผงฟูลงไป 2-3 ช้อนโต๊ะ แช่หวีและแปรงทิ้งไวั้ประมาณ 2-3 นาที หลังจากนั้นนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด และพึ่งแดดให้แห้ง ซึ่งวิธีจะเป็นการขจัดสารที่ตกค้างอยู่ให้ออกไป

     11.ผิว >> ผิวจะนุ่มน่าสัมผัสมากขึ้น ถ้าน้องๆ ลองนำผงฟูประมาณหนึ่งหยิบมือเติมลงในน้ำอุ่น แล้วแช่มือไว้ประมาณ 2-3 นาที หลังจากนั้นล้างมือด้วยน้ำสะอาด
ความรู้เกี่ยวกับผงฟู

     ในการใช้ผงฟูแต่ละครั้งมักจะใช้ไม่หมดผงฟูที่เหลือควรเก็บใส่กระป๋องปิดฝา ให้สนิทวิธีทดสอบว่าผงฟูนั้นยังมีคุณภาพดีหรือไม่ให้เอาน้ำใส่ถ้วยแก้วไว้ เล็กน้อย แล้วตักผงฟูเทลงไปนิดหน่อยในน้ำ ถ้าน้ำเดือดเป็นฟองก็แสดงว่าคุณภาพของผงฟูนั้นยังดีอยู่ ผงฟูเมื่อใช้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรปิดกระป๋องให้สนิท ถ้าปิดไม่สนิทความชื้นภายนอกจะเข้าไปทำปฏิกิริยา ทำให้ผงฟูชื้นและเสื่อมคุณภาพ

โดย ทางแพทย์สายพุทธ

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

สมุนไพรไทยรักษาโรคมะเร็ง

 
     มะเร็งคือโรคร้ายชนิดหนึ่งที่รักษาหายได้ยาก ด้วยยาหรือเครื่องมือแพทย์แผนใหม่ซึ่งมุ่งกำจัดมะเร็งโดยตรง อาจโดยผ่าตัด ฉายแสง หรือให้ยาเคมีบำบัด การผ่าตัดนับว่าเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับคนป่วย ถ้าอาการไม่หนักจนเกินไปคือก้อนมะเร็งไม่โตการผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อร้ายออกไปก็อาจหายขาดได้ในมะเร็งบางประเภทเช่นมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งมดลูก แต่ถ้าเป็นมะเร็งที่อวัยวะสำคัญเช่นตับ ไต หัวใจ ปอด การผ่าตัดก็เป็นผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสุขภาพในระยะยาวของผู้ป่วย เพราะอวัยวะสำคัญจะต้องถูกเฉือนออกไปบางส่วน อวัยวะที่เหลือก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าการฉายรังสีและให้เคมีแก่ผู้ป่วย ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจทำให้มะเร็งหายไปจากอวัยวะนั้น ๆ ได้จริง แต่มันก็ทำลายส่วนประกอบอื่น ๆ ของร่างกายไปด้วย อาการหายป่วยจากมะเร็งนั้นจะเป็นการหายแบบความสุขสบายในชีวิตหายไป และนอนรอวันตายร่นเข้ามาในวันใดวันหนึ่งในระยะใกล้ ๆ ที่เห็นได้ชัดคือคนป่วยผอมเหลือง ผมร่วง รังสีของชีวิตขาดหายไป ภาพที่เราเห็นก็คือผีเดินได้นี่เอง

      มะเร็งเป็นโรคที่คนไทยเรารู้จักกันมานาน แต่คำว่ามะเร็งอาจจะใช้กับโรคบางประเภท เช่นมะเร็งไข่ปลาคือโรคงูสวัดเป็นต้น แต่มะเร็งที่หมอแผนปัจจุบันหมายถึงคือโรคสารลุกลามในจุดใดจุดหนึ่งแล้วลุกลามไปตามเส้นเลือดเส้นเอ็นและเนื้อเยื่อทั้งปวง คนเหนือเรียกว่าโรคสารมากกว่ามะเร็ง

      การรักษามะเร็งหรือสารลุกลามด้วยยาแผนโบราณและแผนปัจจุบันนั้นมีจุดหมายที่เดียวกันคือทำให้เชื้อมะเร็งหายไปจากตัว แต่วิธีการนั้นแตกต่างกัน ยาสมุนไพรนั้นใช้รักษาด้วยการฟื้นสภาพอวัยภายในที่สำคัญให้มีพลังขึ้นมาต่อสู้กับโรค

      จุดที่ยาสมุนไพรมุ่งเข้าสู่เป้าหมายคือต่อมน้ำเหลืองและไขกระดูกซึ่งมีหน้าที่สร้างภูมิต้านทาน ปรัชญาการแพทย์แผนโบราณคือปลุกภูมิต้านทานในร่างกายขึ้นมาต่อสู้กับโรคร้ายด้วยการบำรุงไขกระดูกและต่อมน้ำเหลืองให้มีคุณภาพแข็งแรงจนเอาชนะโรคร้ายได้

      การกินยาแผนโบราณอาจไม่มีหนทางพิสูจน์ทางห้องวิทยาศาสตร์ด้วยการตัดเนื้อเยื่อมาตรวจ แต่เมื่อผู้ป่วยกินยาไปสักระยะหนึ่งอาการป่วยต่าง ๆ ค่อยทุเลา และคนป่วยรู้สึกสบายดีขึ้นตามลำดับ กินได้ นอนหลับ อาการเจ็บปวดลดน้อยลง นั่นแสดงว่าสมุนไพรเหมาะสมกับโรคแล้ว ถ้ากินติดต่อกันไปก็อาจหายขาดได้

      สมุนไพรที่หมอแผนโบราณใช้รักษาโรคมะเร็งนั้นต้องเป็นสมุนไพรที่เกี่ยวข้องกับต่อมน้ำเหลือง บำรุงเลือด บำรุงกำลัง บำรุงกระดูก การเลือกสมุนไพรก็เป็นไปตามหลักปรัชญาแพทย์แผนโบราณ คือหลักการใช้สมุนไพรตามรส ซึ่งท่านได้แบ่งไว้ทั้งสิ้น 9 รส เป็นถ้อยคำคล้องจองกันเพื่อจด จำได้ง่ายคือ ยารสฝาดใช้สมาน ยารสหวานซึมซาบไปตามเนื้อ รสเมาเบื่อแก้พิษ รสขมแก้ทางดีและโลหิต รสมันแก้เส้นเอ็น รสหมอเย็นบำรุงหัวใจ รสเค็มซึมซาบไปตามผิวหนัง รสเปรี้ยวกัดเสมหะ

      เช่นรสเมาเบื่อแก้พิษ ก็ต้องรู้ว่ารสเมาเบื่อนั้นเป็นอย่างไร ไม่ได้หมายความว่ากินแล้วเมา กินแล้วเบื่อ แต่บางชนิดมันก็อาจเมานิด ๆ บางชนิดมันก็อาจเบื่อนิด ๆ แต่ใช้เป็นยารักษาโรคได้ดี ถ้าใช้มากเกินก็กลายเป็นโทษ เช่นฝิ่น กัญชา โคเคน เป็นต้น ส่วนคำว่าแก้พิษนั้นก็คือพิษในโลหิตก็ได้ พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยก็ได้ ถ้าน้ำเหลืองเสียก็เรียกว่า โลหิตเป็นพิษ ก็ใช้รสเมาเบื่อนี่แหละ เช่น หัวยาเข้าเย็นเหนือ หัวยาเข้าเย็นใต้ หัวยั้ง รากมะดูก ขันทองพยาบาท ทองพันชั่ง ใบพลูแก ใบพลูคาว กำมะถัน สารหนู ปรอท เป็นต้น หมอแผนโบราณที่เก่งและเข้าถึงศาสตร์นี้ ท่านจะรู้จักหยิบเอาสมุนไพรแต่ละชนิดมาผสมผสานกันอย่างกลมกลืน ด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม เช่นการรักษาโรคมะเร็ง ก็ใช่ว่าท่านจะนำเอาสมุนไพรรส เมาเบื่อมาใช้ทั้งหมด ต้องผสมผสานกับรสอื่นด้วย เพื่อมุ่งสู่หลายจุดหมาย เพื่อแก้น้ำเหลือง เพื่อขับพิษร้าย เพื่อบำรุงโลหิต เพื่อบำรุงหัวใจ เพื่อปรุงรสและกลิ่นให้น่ารับประทาน การปรุงยาจึงเต็มไปด้วยศาสตร์และศิลป์ของแต่ละหมอ จึงเป็นศาสตร์ที่เรียนรู้ได้ แต่เลียนแบบกันไม่ได้ เหมือนหมอดูนั่นแหละ เรียนจากตำราเดียวกัน คนหนึ่งดูแม่นเหมือนตาเห็น อีกคนหนึ่งไม่เป็นเรื่องเลย มันก็เป็นเรื่องของการเข้าถึงศาสตร์และศิลปะประจำตัวของแต่ละคน

      แต่สูตรยาสมุนไพรที่ท่านเขียนไว้เป็นตำรับก็มีมาก ที่เผยแพร่ตามตำราของทางการก็มี ได้พบในผลงานวิจัยของนักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอกด้านการวิจัยสมุนไพรของมหาวิทยาลัยมหิดล ท่านรวบรวมและพิมพ์เผยแพร่แล้ว ก็อยากเผยแพร่ต่อ ณ ที่นี้ คงไม่ว่ากันนะครับ ใครจะนำไปทดลองใช้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว แต่ต้องรู้จักต้นสมุนไพรนะครับ

ตำรายาจากผลงานวิจัยของการแพทย์แผนไทย

      1. ยารักษามะเร็งเต้านม (ผู้วิจัย ดาลัด พรศิริประเสริฐ มหาวิทยาลัยมหิดล 2529) และ เกษรา ณ บางช้าง 2529)

         ไฟเดือนห้า [Ludwigia hyssopifolia [G.Don] Ewell

         หญ้าปีกไก่ดำ [ Polygala chinensis Linn]

         พุทธรักษา [ Canna indica Linn]

         ข้าวเย็นเหนือ [Smilax corbularia Kunth C]

         ลิ้นงูเห่า [ Climacanthus siamensis Brem

         เกล็ดนิ่ม ขนเม่น กระดองเต่า เงี่ยงกระเบน อกตะพาบน้ำ กรุตักน้ำ

      ยาสมุนไพรตำรับนี้เชื่อกันว่าให้ผลในการรักษามะเร็งได้หลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม (พ.ศ.2525-2529 มีผู้ป่วยรักษาด้วยยาตำรับนี้ 3250 คน) ได้มีผู้ทำการศึกษาเบื้องต้นพบว่า น้ำสกัดจากส่วนประกอบที่ได้จากพืชแสดงผลยับยั้งการเจริญของมะเร็งเต้านมในสัตว์ทดลองได้ ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้จึงมีจุดประสงค์ที่จะศึกษาน้ำสกัดจากยาทั้งตำรับ ซึ่งประกอบด้วยพืชและสัตว์ ทำการศึกษาทั้งในห้องทดลอง และในสัตว์ทดลอง ผลการศึกษาได้ดังนี้

      น้ำสกัดจากสมุนไพรทั้งตำรับสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์ KB ในหลอดทดลองได้ร้อยละ 50 { ED 50) เมื่อใช้น้ำสกัดที่มีความเข้มมากกว่า 100 มกก./มล. ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกากำหนดไว้ ส่วนผลการศึกษาในสัตว์ทดลองซึ่งทำให้หนูขาวเป็นมะเร็งเต้านมโดยการกินสารก่อมะเร็ง พบว่าเมื่อให้หนูทดลองกลุ่มหนึ่งได้กินน้ำสกัดยาสมุนไพรขนาด 1500 มก /กก. ของน้ำหนักตัวทุกวัน สามารถยับยั้งการเจริญของก้อนมะเร็งได้ในช่วง 4 สัปดาห์แรก และมีผลช่วยยืดอายุและเพิ่มอัตราการอยู่รอดของหนูทดลองได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับหนูทดลองอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้กินน้ำสกัดยาสมุนไพร

      นอกจากนี้ยังได้ศึกษาพิษวิทยาจากสมุนไพรทั้งตำรับโดยในสัตว์ทดลองกินน้ำสกัดสมุนไพรปริมาณ 1500 มก./กก. ของน้ำหนักตัวติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน ไม่พบการเกิดพิษทางโลหิต ทางพยาธิ์สภาพของเซลล์ และการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของเลือดของสัตว์ทดลอง การศึกษาพิษเฉียบพลันโดยการให้สัตว์ทดลองกินน้ำสกัดปริมาณ 15000 มก./กก. ของน้ำหนักตัวเพียงครั้งเดียวก็ไม่พบว่ามีสัตว์ทดลองตาย.

      การจะรักษาผู้ป่วยด้วยแพทย์แผนใหม่ หรือด้วยยาสมุนไพรไทยดี นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินของผู้ป่วยและญาติ แต่มีข้อที่น่าคิดอยู่ ผมอ่านหนังสือ “เมื่อหมอเป็นมะเร็ง” ของนายแพทย์ที่รักษามะเร็งด้วยการฉายแสงและรังสี ของโรงพยาบาลเชียงใหม่แต่เมื่อท่านเกิดมะเร็งลำไส้ก็ไม่ยอมรักษาด้วยรังสีและฉายแสง แต่กลับใช้วิธีชีวจิตจนอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ ต่อมาทนการรบเร้าของลูกศิษย์ที่เพิ่งเรียนจบเคมีจากอเมริกาไม่ไหว เขาบอกว่ายาที่มาใหม่ยอดเยี่ยม ต้องหายแน่ อยากให้อาจารย์ทดลองดู อาจารย์ก็เลยตามใจศิษย์ จนที่สุดก็ลาโลกไปด้วยยาเคมีชนิดใหม่ แต่ก่อนเสียชีวิตท่านก็เขียน “เมื่อหมอเป็นมะเร็ง ตอนที่ 2” ใครเป็นมะเร็งลองแสวงหาอ่านดูเถิดครับ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะใช้วิธีไหน

      หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็งในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก
 

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

     1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

      2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

      3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

      4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

      5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

      6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลล์มะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ
 
      7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

      8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

      9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

      10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

      11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

ที่มา: บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย

ไข้ละอองไฟฟ้า

      ไข้ละอองไฟฟ้าเทียบกับโรคปัจจุบัน.... ลักษณะคล้ายกับโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
      ไข้ละอองไฟฟ้า.... คือ ลักษณะไข้วิปริตปฐมเหตุอันบังเกิดขึ้นในระหว่างอหิวาตกภัย อยู่ในพระคัมภีร์ตักศิลา (จากตำรายาวัดโพธิ์) เป็นไข้พิษ ไข้กาฬ ชนิดหนึ่ง ที่เป็นไข้ติดเชื้อภายใน อาจมีการผุดขึ้นเป็นเม็ดยอดตามผิวหนัง

อาการตามพระคัมภีร์ตักศิลา.....
      - กระทำให้ปากเบี้ยว ตาแหก คางคลาด
      - ผุดขึ้นยอดที่หน้าอกเท่าเมล็ดงา ยอดนั้นแดงก่อนแล้วจึงดำคล้ำ
      - ให้เร่งแต่งยาประทับ
      - ถ้ายอดนั้นคืนแดงออกเมื่อใด เป็นยาปะยะโรค (รักษาได้ง่าย) รักษาได้
      - ถ้ามิคืนแดงออกได้ ท่านว่าเป็นอติสัยโรค (รักษายาก) ยามิได้เลยเป็นอันเที่ยง

อธิบายอาการโรคไข้ละอองไฟฟ้า.....
      โรคไข้ละอองไฟฟ้า มีอาการคล้ายคลึงกับโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ( อัมพฤกษ์ อัมพาต เกิดเหตุจากลมในกองธาตุ จะมีอาการอ่อนแรง ชาไปครึ่งซีกตัว ) เพราะโรคนี้จะไปจับเส้นสุมนา ทำให้เส้นอิทา ปิงคลา เดินไม่ได้ ทำให้เกิดอาการอัมพาต แขนขาอ่อนแรง
แยกโรคจากอัมพฤกษ์ด้วยอาการไข้ ตาแดง น้ำตาตก ปากคอแห้ง ร้อนใน กระหายน้ำ

อธิบายการกระทบเส้น ดังนี้
      ๑) กระทบเส้นสุมนา คือเส้นกลางลำตัว มีผลต่อหัวใจ สมอง ไขสันหลัง หลอดเลือดแดงใหญ่ กลุ่มประสาทกลางลำตัว

      ๒) กระทบเส้นอิทา มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ระบบประสาท ด้านซ้าย ถ้าผิดปกติ เกิดโทษคือ ปวดศีรษะ ตามืดมัว ชักปากเบี้ยว เจ็บสันหลัง ให้เกิดลมประกัง ตัวร้อน วิงเวียนศีรษะ

      ๓) กระทบเส้นปิงคลา มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ระบบประสาท ด้านขวา ถ้าผิดปกติ เกิดโทษคือ อัมพาต ปากเบี้ยว ปวดศีรษะรุนแรง
อาการ......
ไข้ภายใน ครั่นเนื้อ ครั่นตัว หางตาตก มุมปากยก เหตุจากความร้อนขึ้นสมอง

สาเหตุ....
      ๑. จากฤดูสมุฏฐาน เช่น ฤดูร้อน โลหิตเป็นต้นไข้ ให้โลหิตร้อน การไหลเวียนของโลหิตในร่างกายไม่สะดวก เป็นเหตุส่งเสริมให้อาการไข้ละอองไฟฟ้าที่เป็นอยู่เดิม อาการหนักมากขึ้น
      ๒. ความร้อนจากโลหิตของคนไข้ที่เป็นไข้ละอองไฟฟ้า
           ๑) ถ้าขึ้นไปที่สมอง จะทำลายสมอง
           ๒) ถ้าไปที่หัวใจ ฟอกโลหิตไม่ได้
                - ลมสุมนา ดึงปาก ให้มุมปากยก ปากเบี้ยว ดึงลิ้น ให้ลิ้นกระด้างคางแข็ง (ชิวหาสดมภ์)


ที่ีมา: บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย


โรคทางแพทย์แผนไทย..... ไข้ละอองไฟฟ้า
เทียบกับโรคปัจจุบัน.... ลักษณะคล้ายกับโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต 

ไข้ละอองไฟฟ้า.... คือ ลักษณะไข้วิปริตปฐมเหตุอันบังเกิดขึ้นในระหว่างอหิวาตกภัย อยู่ในพระคัมภีร์ตักศิลา (จากตำรายาวัดโพธิ์) เป็นไข้พิษ ไข้กาฬ ชนิดหนึ่ง ที่เป็นไข้ติดเชื้อภายใน อาจมีการผุดขึ้นเป็นเม็ดยอดตามผิวหนัง

อาการตามพระคัมภีร์ตักศิลา.....

- กระทำให้ปากเบี้ยว ตาแหก คางคลาด
- ผุดขึ้นยอดที่หน้าอกเท่าเมล็ดงา ยอดนั้นแดงก่อนแล้วจึงดำคล้ำ
- ให้เร่งแต่งยาประทับ
- ถ้ายอดนั้นคืนแดงออกเมื่อใด เป็นยาปะยะโรค (รักษาได้ง่าย) รักษาได้
- ถ้ามิคืนแดงออกได้ ท่านว่าเป็นอติสัยโรค (รักษายาก) ยามิได้เลยเป็นอันเที่ยง

อธิบายอาการโรคไข้ละอองไฟฟ้า.....

โรคไข้ละอองไฟฟ้า มีอาการคล้ายคลึงกับโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ( อัมพฤกษ์ อัมพาต เกิดเหตุจากลมในกองธาตุ จะมีอาการอ่อนแรง ชาไปครึ่งซีกตัว ) เพราะโรคนี้จะไปจับเส้นสุมนา ทำให้เส้นอิทา ปิงคลา เดินไม่ได้ ทำให้เกิดอาการอัมพาต แขนขาอ่อนแรง
แยกโรคจากอัมพฤกษ์ด้วยอาการไข้ ตาแดง น้ำตาตก ปากคอแห้ง ร้อนใน กระหายน้ำ

อธิบายการกระทบเส้น ดังนี้

๑) กระทบเส้นสุมนา คือเส้นกลางลำตัว มีผลต่อหัวใจ สมอง ไขสันหลัง หลอดเลือดแดงใหญ่ กลุ่มประสาทกลางลำตัว

๒) กระทบเส้นอิทา มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ระบบประสาท ด้านซ้าย ถ้าผิดปกติ เกิดโทษคือ ปวดศีรษะ ตามืดมัว ชักปากเบี้ยว เจ็บสันหลัง ให้เกิดลมประกัง ตัวร้อน วิงเวียนศีรษะ

๓) กระทบเส้นปิงคลา มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ระบบประสาท ด้านขวา ถ้าผิดปกติ เกิดโทษคือ อัมพาต ปากเบี้ยว ปวดศีรษะรุนแรง

อาการ...... 

ไข้ภายใน ครั่นเนื้อ ครั่นตัว หางตาตก มุมปากยก เหตุจากความร้อนขึ้นสมอง

สาเหตุ....

๑. จากฤดูสมุฏฐาน เช่น ฤดูร้อน โลหิตเป็นต้นไข้ ให้โลหิตร้อน การไหลเวียนของโลหิตในร่างกายไม่สะดวก เป็นเหตุส่งเสริมให้อาการไข้ละอองไฟฟ้าที่เป็นอยู่เดิม อาการหนักมากขึ้น

๒. ความร้อนจากโลหิตของคนไข้ที่เป็นไข้ละอองไฟฟ้า
๑) ถ้าขึ้นไปที่สมอง จะทำลายสมอง
๒) ถ้าไปที่หัวใจ ฟอกโลหิตไม่ได้
- ลมสุมนา ดึงปาก ให้มุมปากยก ปากเบี้ยว ดึงลิ้น ให้ลิ้นกระด้างคางแข็ง (ชิวหาสดมภ์)

การรักษาทางแพทย์แผนไทย
- ใช้ยาตามตำรายาวัดโพธิ์

โดย.... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย

วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

สาเหตุ อาการ และการรักษา โรคฝีฟองพระสมุทร หรือ ต่อมทอนซิลอักเสบ ตาศาสตร์แพทย์แผนไทย

      ต่อมทอนซิลเป็น กลุ่มของเนื้อเยื่อประเภทต่อมน้ำเหลืองมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิ คุ้มกันของร่างกาย ภายในต่อมมีเม็ดเลือดขาวหลายชนิด บางชนิดสามารถดักจับเชื้อโรค ด้วยตัวของมันเองได้โดยตรง และบางชนิดต้องเสริมภูมิคุ้มกันก่อนจึงส่ง ออกไปกำจัดเชื้อโรคอีกที ต่อมทอนซิลพบได้หลายตำแหน่งต่อมที่เราเห็นจะอยู่ด้านข้างของช่องปาก มีชื่อเรียกว่า "พาลาทีนทอนซิล" นอกจากนี้ ต่อมทอนซิลยังพบได้บริเวณโคนลิ้นและช่องหลังโพรงจมูกอีกด้วย ในผู้ป่วยที่ต้องตัดต่อมทอนซิลจะไม่มีผลกระทบถึงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพราะมีอวัยวะอื่นๆ เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่แทนได้

     ทอนซิลอักเสบ (tonsillitis) เป็นภาวะอักเสบของต่อม ทอนซิล ส่วนคออักเสบ (pharyngitis) หมายถึง ภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอที่อยู่บริเวณหลังช่องปากเข้าไป บางครั้งภาวะทั้งสองอาจเกิดขึ้น พร้อมกันได้ บางครั้งอาจเกิดเพียงทอนซิลอักเสบหรือคออักเสบอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยทั่วไปเมื่อพูดว่าต่อมทอนซิลอักเสบ จะหมายความถึงการอักเสบของต่อมทอนซิลซึ่งโดยมากเป็นทั้งสองข้าง และมักมีอาการอักเสบของหลอดคอหอยร่วมด้วย ต่อมทอนซิลอักเสบแบ่งเป็นชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง

สาเหตุ...
      ต่อมทอนซิล อักเสบเฉียบพลัน อาจเกิดได้ทั้งจากเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย เด็กก่อนวัยเรียนมักจะเกิดจากเชื้อไวรัส และติดต่อกันได้ง่าย เพราะไม่รู้จักวิธีป้องกันการติดต่อของโรค สำหรับในเด็กโตและผู้ใหญ่ มักจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่เป็นเชื้อกลุ่มเดียวกันกับที่ทำให้เป็นโรคหวัด หรือเชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบของระบบหายใจตอนบน

     เชื้อไวรัสที่พบบ่อยที่สุด คือ rhinovirus และ coronavirus ซึ่งอาการมักไม่รุนแรง ส่วนเชื้อ adenovirus และ herpes simplex virus พบว่าเป็นสาเหตุได้ไม่บ่อย แต่มีความสำคัญเพราะมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรกอาจมีอาการคออักเสบและทอนซิลอักเสบได้
เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของ โรคพบได้หลายชนิด ร้อยละ 15 เกิดจากเชื้อสเตร็ปโตค็อคคัส S. pyogenes ส่วน group C และ G อาจเกิดการระบาดโดยปนเปื้อนในอาหารได้

อาการ....
      ผู้ป่วยโรคต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบ พลัน จะมี อาการไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ โดยเฉพาะเวลากลืนอาหาร หรือน้ำลาย จะเจ็บมาก พยาธิสภาพของโรคนี้ พบการบวมแดงของต่อมทอนซิลและเยื่อบุคอหอย อาจพบหนองได้

     ในกรณีที่เกิดจาก การติดเชื้อสเต็ปโตค็อคคัส จะพบการอักเสบรุนแรงกระจายทั่วไป ลิ้นไก่แดงมาก และพบหนองสีเทาเหลืองที่บริเวณทอนซิลได้บ่อย

ผลแทรกซ้อน ของต่อมทอนซิลอักเสบที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
      ฝีรอบต่อมทอนซิล ข้างคอหอย ผนังคอหอย ต่อมน้ำเหลืองที่คอ หินปูนในทอนซิล ไข้รูห์มาติก
เยื่อบุหัวใจอักเสบ ไตอักเสบ

การวินิจฉัยทางแพทย์แผนไทย ..... ฝีฟองพระสมุทร
      เป็นยาปะยะโรค (รักษาได้ง่าย) เกิดเพื่อวาโยและโลหิตระคนกัน เกิดขึ้นในคอ, ต้นขากรรไกร

อาการ....
      -ให้เจ็บในลำคอ กลืนข้าวกลืนน้ำลำบาก  ถ้าให้ยาถูกโรค ก็เกลื่อนหายไป
      - ถ้าให้ยาไม่ถูกกับโรค ก็จะเจริญแก่ขึ้นเป็นบุพโพ (หนอง) ทำพิษให้สะบัดร้อนสะท้านหนาว ดุจไข้จับ ให้เป็นไข้ ตัวร้อน ตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า ให้ทุรนทุราย จนกว่าบุพโพจะแตก จึงหายเจ็บปวด

การรักษา...
      - ให้ยาตามตำรายาวัดโพธิ์หรือเลือกใช้สมุนไพรกลุ่มแก้อาการเจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ ดังนี้คือ

     1) ต้นโทงเทง หรือ โคมจีน
        - ใช้เยื่อหุ้มผลแห้งที่เอาเมล็ดออกแล้วหนัก 10 กรัม เปลือกส้ม 6 กรัม ต้มกับน้ำผสมน้ำตาลกรวดพอหวานเล็กน้อย ใช้ดื่มต่างน้ำ

        - ใช้ทั้งต้น ตำละลายกับสุรา เอาสำลีชุบน้ำยาอมไว้ข้างแก้ม กลืนน้ำผ่านลำคอทีละน้อย แก้ต่อมน้ำลายอักเสบ (ต่อมทอนซิล) แก้ฝีในลำคอ (แซง้อ) หรือ ละลายกับน้ำส้มสายชูก็ได้ แก้ความอักเสบในลำคอได้ดีมากใช้ภายใน แก้ร้อนในกระหายน้ำ ใช้ภายนอก แก้ฟกบวมอักเสบ ทำให้เย็น

        -ใช้ทั้งต้น ต้มกินต่างน้ำ ใส่เกลือเล็กน้อย

      2) มะนาว
        - เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ

      3) ฟ้าทะลายโจร
        - อาการเจ็บคอรับประทานครั้งละ 3-6 กรัมวันละ 4 ครั้ง ส่วนการบรรเทาอาการหวัดให้รับประทานครั้งละ 1.5-3 กรัมวันละ 4 ครั้ง โดยแนะนำให้รับประทานติดต่อกันไม่เกิน 7 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์

      4) หูเสือ
        - ให้เอาใบหูเสือแบบสด ขนาดเล็กหรือใหญ่จำนวน 5 ใบ ล้างน้ำให้สะอาดสับรวมกับเนื้อหมูไม่ติดมันกะจำนวนตามต้องการ ไม่ต้องปรุงรสหรือใส่อะไรลงไปอีก ปั้นเป็นก้อนต้มกับน้ำไม่ต้องมากนักจนเดือดหรือเนื้อสุกกินทั้งน้ำแลเนื้อ เช้าเย็น ทำกินประจำ 4 – 5 วัน อาการจะดีขึ้นและหายได้ หรือต้มกินจนกว่าจะหาย

คำแนะนำ...
      -งดอาหารแสลง เช่น อาหารหวานเย็น อาหารทอด อาหารมัน
      - รักษาร่างกายให้อบอุ่น
      - จิบน้ำอุ่นบ่อยๆ

ที่มา: บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย
โรคในคัมภีร์แพทย์แผนไทย..... 
ฝีฟองพระสมุทร หรือ ทอนซิลอักเสบ

ต่อมทอนซิลเป็น กลุ่มของเนื้อเยื่อประเภทต่อมน้ำเหลือง
มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิ คุ้มกันของร่างกาย ภายในต่อมมีเม็ดเลือดขาวหลายชนิด บางชนิดสามารถดักจับเชื้อโรค ด้วยตัวของมันเองได้โดยตรง และบางชนิดต้องเสริมภูมิคุ้มกันก่อนจึงส่ง ออกไปกำจัดเชื้อโรคอีกที ต่อมทอนซิลพบได้หลายตำแหน่งต่อมที่เราเห็นจะอยู่ด้านข้างของช่องปาก มีชื่อเรียกว่า "พาลาทีนทอนซิล" นอกจากนี้ ต่อมทอนซิลยังพบได้บริเวณโคนลิ้นและช่องหลังโพรงจมูกอีกด้วย ในผู้ป่วยที่ต้องตัดต่อมทอนซิลจะไม่มีผลกระทบถึงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพราะมีอวัยวะอื่นๆ เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่แทนได้
 
ทอนซิลอักเสบ (tonsillitis) เป็นภาวะอักเสบของต่อม ทอนซิล ส่วนคออักเสบ (pharyngitis) หมายถึง ภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอที่อยู่บริเวณหลังช่องปากเข้าไป บางครั้งภาวะทั้งสองอาจเกิดขึ้น พร้อมกันได้ บางครั้งอาจเกิดเพียงทอนซิลอักเสบหรือคออักเสบอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยทั่วไปเมื่อพูดว่าต่อมทอนซิลอักเสบ จะหมายความถึงการอักเสบของต่อมทอนซิลซึ่งโดยมากเป็นทั้งสองข้าง และมักมีอาการอักเสบของหลอดคอหอยร่วมด้วย ต่อมทอนซิลอักเสบแบ่งเป็นชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง
 
สาเหตุ...
 
ต่อมทอนซิล อักเสบเฉียบพลัน อาจเกิดได้ทั้งจากเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย เด็กก่อนวัยเรียนมักจะเกิดจากเชื้อไวรัส และติดต่อกันได้ง่าย เพราะไม่รู้จักวิธีป้องกันการติดต่อของโรค สำหรับในเด็กโตและผู้ใหญ่ มักจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่เป็นเชื้อกลุ่มเดียวกันกับที่ทำให้เป็นโรคหวัด หรือเชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบของระบบหายใจตอนบน
 
เชื้อไวรัสที่พบบ่อยที่สุด คือ rhinovirus และ coronavirus ซึ่งอาการมักไม่รุนแรง ส่วนเชื้อ adenovirus และ herpes simplex virus พบว่าเป็นสาเหตุได้ไม่บ่อย แต่มีความสำคัญเพราะมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรกอาจมีอาการคออักเสบและทอนซิลอักเสบได้
 
เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของ โรคพบได้หลายชนิด ร้อยละ 15 เกิดจากเชื้อสเตร็ปโตค็อคคัส S. pyogenes ส่วน group C และ G อาจเกิดการระบาดโดยปนเปื้อนในอาหารได้
 
 
อาการ....
 
ผู้ป่วยโรคต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบ พลัน จะมี อาการไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ โดยเฉพาะเวลากลืนอาหาร หรือน้ำลาย จะเจ็บมาก พยาธิสภาพของโรคนี้ พบการบวมแดงของต่อมทอนซิลและเยื่อบุคอหอย อาจพบหนองได้
 
ในกรณีที่เกิดจาก การติดเชื้อสเต็ปโตค็อคคัส จะพบการอักเสบรุนแรงกระจายทั่วไป ลิ้นไก่แดงมาก และพบหนองสีเทาเหลืองที่บริเวณทอนซิลได้บ่อย
 
ผลแทรกซ้อน ของต่อมทอนซิลอักเสบที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
 
ฝีรอบต่อมทอนซิล ข้างคอหอย ผนังคอหอย ต่อมน้ำเหลืองที่คอ
หินปูนในทอนซิล
ไข้รูห์มาติก
เยื่อบุหัวใจอักเสบ
ไตอักเสบ
 
 
การวินิจฉัยทางแพทย์แผนไทย ..... ฝีฟองพระสมุทร
 
เป็นยาปะยะโรค (รักษาได้ง่าย) เกิดเพื่อวาโยและโลหิตระคนกัน เกิดขึ้นในคอ, ต้นขากรรไกร
 
 
อาการ....
 
-ให้เจ็บในลำคอ กลืนข้าวกลืนน้ำลำบาก 
ถ้าให้ยาถูกโรค ก็เกลื่อนหายไป
 
- ถ้าให้ยาไม่ถูกกับโรค ก็จะเจริญแก่ขึ้นเป็นบุพโพ (หนอง) ทำพิษให้สะบัดร้อนสะท้านหนาว ดุจไข้จับ ให้เป็นไข้ ตัวร้อน ตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า ให้ทุรนทุราย จนกว่าบุพโพจะแตก จึงหายเจ็บปวด 
 
 
การรักษา...
 
- ให้ยาตามตำรายาวัดโพธิ์ 
 
หรือเลือกใช้สมุนไพรกลุ่มแก้อาการเจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ ดังนี้คือ
 
1) ต้นโทงเทง หรือ โคมจีน
 
- ใช้เยื่อหุ้มผลแห้งที่เอาเมล็ดออกแล้วหนัก 10 กรัม เปลือกส้ม 6 กรัม ต้มกับน้ำผสมน้ำตาลกรวดพอหวานเล็กน้อย ใช้ดื่มต่างน้ำ
 
- ใช้ทั้งต้น ตำละลายกับสุรา เอาสำลีชุบน้ำยาอมไว้ข้างแก้ม กลืนน้ำผ่านลำคอทีละน้อย แก้ต่อมน้ำลายอักเสบ (ต่อมทอนซิล) แก้ฝีในลำคอ (แซง้อ) หรือ ละลายกับน้ำส้มสายชูก็ได้ แก้ความอักเสบในลำคอได้ดีมาก
ใช้ภายใน แก้ร้อนในกระหายน้ำ ใช้ภายนอก แก้ฟกบวมอักเสบ ทำให้เย็น
 
-ใช้ทั้งต้น ต้มกินต่างน้ำ ใส่เกลือเล็กน้อย
 
2) มะนาว
 
- เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ
 
 
3) ฟ้าทะลายโจร
 
- อาการเจ็บคอรับประทานครั้งละ 3-6 กรัมวันละ 4 ครั้ง ส่วนการบรรเทาอาการหวัดให้รับประทานครั้งละ 1.5-3 กรัมวันละ 4 ครั้ง โดยแนะนำให้รับประทานติดต่อกันไม่เกิน 7 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์ 
 
4) หูเสือ
 
- ให้เอาใบหูเสือแบบสด ขนาดเล็กหรือใหญ่จำนวน 5 ใบ ล้างน้ำให้สะอาดสับรวมกับเนื้อหมูไม่ติดมันกะจำนวนตามต้องการ ไม่ต้องปรุงรสหรือใส่อะไรลงไปอีก ปั้นเป็นก้อนต้มกับน้ำไม่ต้องมากนักจนเดือดหรือเนื้อสุกกินทั้งน้ำแลเนื้อเช้าเย็น ทำกินประจำ 4 – 5 วัน อาการจะดีขึ้นและหายได้ หรือต้มกินจนกว่าจะหาย
 
 
คำแนะนำ...
 
-งดอาหารแสลง เช่น อาหารหวานเย็น อาหารทอด อาหารมัน
 
-รักษาร่างกายให้อบอุ่น
 
- จิบน้ำอุ่นบ่อยๆ

โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย

วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2557

โรคเบาหวาน

 


Q:  " เคยได้ยินว่า อบเชย ลดน้ำตาลในเลือดได้ อ.มีความเห็นว่า ควรใช้อย่างไรบ้างครับ ส่วนตัวผมเอง เริ่มมีอาการของโรคเบาหวาน ผมทานมะระขี้นกเจียวไข่ + ดีบัว ตอนนี้อาการหายไปแล้ว ไม่ทราบว่า ที่ทานมา อ.ว่า ถูกต้องไหมครับ"

A:  ตอบ...อันนี้เป็นกระบวนการคิดของตนเองนะคะที่นำองค์ความรู้มาประยุกต์ใช้ ขออธิบายก่อนว่า โรคเบาหวานคืออะไรในแผนไทย 


      โรคเบาหวาน คือ สภาวะที่ร่างกายสญเสียหน้าที่ของธาตุน้ำพิการไป ๔ ตัว คือ ปิตตัง,เสมหัง,บุพโพ,โลหิต ถ้า ๔ ตัวนี้ทำงานไม่ได้หรือเราเรียกหย่อน,พิการ จะเข้ากับ โรคเบาหวานในแผนปัจจุบันที่มี ๒ ชนิด คือชนิดแรกตับทำงานไม่ได้เลยผลิตอินซูลีนไม่ได้ สองตับถูกกีดขวางด้วยเหตุดังกล่าวจึงผลิตได้น้อย สังเกตุอย่างไรในแผนไทย สมัยก่อนเค้าจะปัสสาวะทิ้งไว้แล้วเช้ามาดูถ้ามีมดมาไต่ตอมก็แปลว่าเป็นโรคเบาหวาน

จะสังเกตอาการโรค
เบาหวานอย่างไร ในแผนไทย

      ๑.ปวดปัสสาวะบ่อย ครั้งขึ้น เนื่องจากในกระแสเลือดและอวัยวะต่างๆมีน้ำตาลค้างอยู่มาก ไตจึงทำการกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวาน สังเกตจากการที่มีมดมาตอมปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของการเรียก เบาหวาน บางคนอาจได้กลิ่นเหมือนขนมหวานในปัสสาวะ ปัสสาวะกลางคืนบ่อยขึ้น

      ๒.กระหายน้ำ และดื่มน้ำในปริมาณมากๆต่อครั้ง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง

     ๓.เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะถ้าหากน้ำหนักเคยมากมาก่อน อันเนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้เต็มที่จึงต้องนำไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ทดแทน

      ๔.ติดเชื้อบ่อยกว่าปรกติ เช่นติดเชื้อทางผิวหนังและกระเพาะอาหาร สังเกตได้จากเมื่อเป็นแผลแล้วแผลจะหายยาก

      ๕.สายตาพร่ามองไม่ชัดเจน อาการชาไม่ค่อยมีความรู้สึก เนื่องมาจากเบาหวานจะทำลายเส้นประสาทให้เสื่อมสมรรถภาพลงความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกจึงถดถอยลง อาจจะมีอาการของโรคหัวใจ และโรคไตเพิ่มถ้า ดำเนินโรคมานาน(สันนิบาต)

     คราวนี้คำถามคือ..... เริ่มเป็นสภาวะไหนก็แก้ไข สภาวะนั้น เช่นคุณแก้ไขที่ทานมะระขี้นกกับดีบัว ทั้งสองตัวมีรสขม บำรุงน้ำดีผลคือน้ำดีผลิตได้ดีขึ้นค่ะ ดีบัวเด่นเรื่องหัวใจไปแก้เรื่องระบบไหลเวียนด้วยก็ดีค่ะ แสดงว่าการดำเนินโรคเพิ่งเริ่มต้นยังสามารถแก้ไขได้ แต่ที่ต้องคำนึงคือ...งดของแสลงและล้างโลหิตที่ข้นหนืด ไปลองหาตัวสมุนไพรล้างดูค่ะ

     คำถามต่อไปคิดอย่างไร...กับ สมุนไพร อบเชย ตามคัมภีร์โบราณเก่าๆนิยมใช้เป็นตัวเข้ายาหลายขนาน อบเชยเป็นสมุนไพรที่ดีเยี่ยมอีกตัวในระบบย่อยช่วย ลดอาการท้องอืดและจุกเสียดได้ดีมาก ที่สำคัญช่วยลดไขมันและน้ำตาลได้ดีค่ะ ไม่นำงานวิจัยมาเกี่ยวข้องเพราะอยากให้เข้าใจองค์ความรู้ดั้งเดิมโบราณ

    แต่ในความเป็นจริงคือ คนเรามีสมดุลเรื่องระบบธาตุไม่เท่ากัน อาจารย์เรียกว่าธาตุขันธ์ โบราณเรียก...ลางเนื้อชอบลางยา เพราะฉะนั้นสมุนไพรบางตัวอาจดีมากกับคนหนึ่ง แต่กลับแย่ลงในอีกคน เราจึงมีสมุนไพรมากมายให้เลือกใช้

    ส่วนตัวเองใช้ยาสมุนไพรปรับสมดุลธาตุที่หย่อน,พิการให้สมดุลขึ้นมาเป็นระบบองค์รวมค่ะไม่แยกกายใจ และใช้สมุนไพรล้างโลหิตเป็นพิษที่ทำให้เลือดข้นเหนียวด้วย เน้นสุดของแสลงโรคสำคัญมากๆ บวกกับสอนสมาธิง่ายๆในการควบคุมอารมณ์ เช่นฝึกการหายใจค่ะ

    แต่บางที่ เราไม่เข้าใจทางเกิดโรค จึงทำให้โรคไม่หายเพราะคนไข้อาจมีโรคอื่นที่ทับซ้อนอยู่ไปขวางทางโรคเบาหวาน เบาหวานเลยไม่หาย ต้องแก้โรคนั้นๆก่อนค่ะ ดังนั้นจึงถูกสอนมาว่าไม่ได้ตรวจเอง,ไม่เห็นคนไข้ห้ามวางยา

 
ที่มา:  ปณิตา ถนอมวงษ์

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2557

สูตร.....พอกหน้าด้วยดินสอพอง

      แต่ก่อนที่จะนำดินสอพองมาทำเครื่องประทินโฉมต่าง ๆ นั้น เราควรทำให้ดินสอพองสะอาดเสียก่อนเพราะดินสอพองที่ขายอยู่ตามท้องตลาดส่วน ใหญ่มักไม่ได้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ จึงอาจมีเชื้อโรคเจือปนอยู่ทำให้เกิดอาการคันหรือผิวหนังอักเสบได้

      วิธีทำ ให้ดินสอพองสะอาดขึ้นนั้นไม่ยาก เรียกว่าการ "สะตุ" วิธีสะตุ เพียงนำดินสอพองใส่หม้อดินปิดฝาหม้อแล้วยกขึ้นตั้งไฟทิ้งไว้จนกว่าดินสอพอง จะร้อนระอุเต็มที่แล้วจึงยกลงทิ้งไว้ให้เย็นจากนั้นก็นำมาใช้ได้ ดินสอพองสะตุนี้ถ้าเก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิดก็จะเก็บไว้ได้นานโดยไม่ ต้องมาเสียเวลาสะตุทุกครั้งที่ต้องการใช้

สูตร 1 ดินสอพองกับมะนาว
        สูตรนี้ผู้ที่มีปัญหาผิวมัน รูขุมขนกว้าง และมีสิวเสี้ยน
     
     ส่วนผสม
      - ดินสอพองสะตุ 3 - 4 เม็ดใหญ่
      - น้ำมะนาว 2 ช้อนชา

    วิธีทำ นำดินสอพองสะตุมาบดละเอียดด้วยภาชนะที่สะอาดผสมน้ำมะนาวลงไปคนให้เข้ากัน ดินสอพองจะพองตัวขึ้นและมีฟองอากาศนั่นเพราะดินสอพองกำลังทำปฏิกิริยากับกรด ในน้ำมะนาวนั่นเอง จากนั้นทาครีมดินสอพองจนทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 - 20 นาที หรือจะทาก่อนนอนทิ้งไว้จนเช้าก็ได้

    วิธีล้าง ให้ล้างด้วยน้ำอุ่นแล้วใช้ผ้าเช็ดเบา ๆ บริเวณที่มีสิวเสี้ยน จากนั้นล้างอีกครั้งด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง ผิวหน้าจะเนียนนุ่มขึ้น รูขุมขนกระชับ และความมันลดลง สูตรนี้สามารถเปลี่ยนจากน้ำมะนาวมาเป็นน้ำมะขามเปียกก็ได้ค่ะ

สูตร 2 ดินสอพองกับน้ำผึ้ง
      สำหรับคนผิวแห้ง แพ้ง่าย มะนาวอาจจะทำให้เกิดความระคายเคืองและแห้งมากขึ้น สูตรนี้จึงใช้น้ำผึ้งที่มีคุณสมบัติสมานผิวเข้ามาแทนที่และยังเพิ่มความชุ่ม ชื้นด้วยน้ำมันงา
 
    ส่วนผสม
      - ดินสอพองสะตุ 3 - 4 เม็ดใหญ่
      - น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
      - น้ำเปล่า 1/2 ช้อนชา
      - น้ำมันงา 1/2 ช้อนชา

    วิธีทำ นำดินสอพองสะตุมาบดละเอียดผสมน้ำผึ้งและน้ำมันงา (หรือน้ำมันมะกอกก็ได้) คนให้เข้ากันน้ำมาพอกให้ทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 - 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด หลังล้างหน้าจะมีความมันของน้ำมันงาหลงเหลืออยู่บ้าง หากไม่ชอบให้ล้างด้วยน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น

สูตร 3 ดินสอพองกับขมิ้น น้ำนม
      น้ำนมมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น บวกกับขมิ้นที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย แก้ผดผื่นคัน และบำรุงผิวให้เปล่งปลั่งด้วย สูตรนี้เหมาะกับทุกสภาพผิว

     ส่วนผสม
       - ดินสอพองสะตุ 4 - 5 เม็ดใหญ่
       - นมสด 2 ช้อนชา
       - น้ำขมิ้น 1 ช้อนชา

    วิธีทำ น้ำขมิ้นนำหัวขมิ้นมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นแว่นแล้วตำจนแหลกผสมน้ำเล็ก น้อยกรองเอาน้ำด้วยผ้าขาวบาง บดดินสอพองสะตุจนละเอียดแล้วคนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 15 - 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

ประโยชน์ของดินสอพอง
      1. ดินสอพองถือเป็นสมุนไพรรสยาเย็น ใช้แก้พิษร้อนกับร่างกายถอนพิษอักเสบ แก้ผด ผื่น และคัน
และที่พิเศษคือเป็นยาห้ามเหงื่อนอกจากไม่ทำให้ร่างกายเหนียวเหนอะจากอากาศร้อนแล้วยังทำให้
ร่างกายเย็นสบาย

      2. การใช้ดินสอพองประหน้า สามารถป้องกันแดดด้วยมีฤทธิ์คล้ายยากันแดดชนิดกายภาพและนักวิจัยเพิ่งพบว่าเป็นยากันแดดได้ดี

      3. มีสรรพคุณช่วยขจัดสิวเสี้ยน ลดอาการปวดบวมจากการอักเสบเขียวช้ำช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น เมื่อ
นำมาผสมกับสมุนไพรแล้วนำมาขัดผิวขัดตัว พอกหน้า จะได้ผลดียิ่งขึ้น เหมาะกับผิวมันเพราะหากใช้กับ
ผิวแห้งจะทำให้ผิวยิ่งแห้งไปกว่าเดิม

      4. ใช้ขัดผิว คือ ดินสอพองผสมขมิ้นและมะขามเปียก ขัดหน้าขัดผิวช่วยให้ผิวพรรณสดใสสวยงาม หรือใช้ดินสอพองผสมขมิ้นลิ้นทะเล และพิมเสน ใช้ลอกฝ้า เป็นต้น

      5. นำดินสอพองมาผสมกับใบทองพันชั่ง ก็มีสรรพคุณชั้นเยี่ยมในการรักษากลากเกลื้อนได้เช่นกัน

      6. ใช้ดินสองพอง ขมิ้นชัน ไพล เหงือกปลาหมอ ผสมรวมกันถ้าใช้เต็มสูตรนอกจากได้สีออกเหลืองๆแล้วเมื่อนำไปทาตัวไปจะเป็นเหมือนการขัดผิวนั่นเอง

     7. ใช้ทาแก้ผิวหนังแพ้ ลมพิษ และผื่นคัน ให้ผสมดินสอพองกับใบเสลดพังพอนตัวเมีย(พญายอ) สูตรนี้เป็นแป้งน้ำไทยหรือเรียกว่าคาลาไมน์สมุนไพร (จะมีสีเขียว)ถ้าจะเปลี่ยนเป็นสีสันฉูดตาขึ้นบ้าง เหยาะน้ำยาอุทัยใส่ดินสอพองละลายน้ำ ก็จะได้แป้งน้ำสีสวยๆ อีกขนานหนึ่งหรืออยากได้สีส้มแสดก็เอาชาดอกคำฝอยมาชงน้ำร้อน ใช้น้ำมาผสมดินสอพองหรือต้องการสีน้ำเงินม่วงเด็ดดอกอัญชันมาขยี้ละลายน้ำ ถ้าต้องการสีแดง ไปถากเอาเปลือกต้นสะเดาใส่น้ำต้มให้เดือดหรือที่หาง่ายๆก็ใช้ดอกกระเจี๊ยบ แดง ต้มน้ำก็ได้สีแดง

     8. ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษเผ็ดที่โดนพริก ใช้ดินสอพองผสมน้ำทาบริเวณที่ร้อน

     9. ผสมน้ำมะกรูด หรือน้ำมะนาว ทาแก้หัวโน

สูตร.....พอกหน้าด้วยดินสอพอง

เรามาเริ่ม สูตร! พอกหน้าด้วยดินสอพอง กันเลยดีกว่าค่ะ
แต่ก่อนที่จะนำดินสอพองมาทำเครื่องประทินโฉมต่าง ๆ นั้น เราควรทำให้ดินสอพองสะอาดเสียก่อนเพราะดินสอพองที่ขายอยู่ตามท้องตลาดส่วนใหญ่มักไม่ได้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ จึงอาจมีเชื้อโรคเจือปนอยู่ทำให้เกิดอาการคันหรือผิวหนังอักเสบได้ 
วิธีทำ ให้ดินสอพองสะอาดขึ้นนั้นไม่ยาก เรียกว่าการ "สะตุ" วิธีสะตุ เพียงนำดินสอพองใส่หม้อดินปิดฝาหม้อแล้วยกขึ้นตั้งไฟทิ้งไว้จนกว่าดินสอพองจะร้อนระอุเต็มที่แล้วจึงยกลงทิ้งไว้ให้เย็นจากนั้นก็นำมาใช้ได้ ดินสอพองสะตุนี้ถ้าเก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิดก็จะเก็บไว้ได้นานโดยไม่ต้องมาเสียเวลาสะตุทุกครั้งที่ต้องการใช้

สูตร 1 ดินสอพองกับมะนาว

สูตรนี้ผู้ที่มีปัญหาผิวมัน รูขุมขนกว้าง และมีสิวเสี้ยน 

ส่วนผสม 

- ดินสอพองสะตุ 3 - 4 เม็ดใหญ่

- น้ำมะนาว 2 ช้อนชา

วิธีทำ นำดินสอพองสะตุมาบดละเอียดด้วยภาชนะที่สะอาดผสมน้ำมะนาวลงไปคนให้เข้ากัน ดินสอพองจะพองตัวขึ้นและมีฟองอากาศนั่นเพราะดินสอพองกำลังทำปฏิกิริยากับกรดในน้ำมะนาวนั่นเอง จากนั้นทาครีมดินสอพองจนทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 - 20 นาที หรือจะทาก่อนนอนทิ้งไว้จนเช้าก็ได้ 

วิธีล้าง ให้ล้างด้วยน้ำอุ่นแล้วใช้ผ้าเช็ดเบา ๆ บริเวณที่มีสิวเสี้ยน จากนั้นล้างอีกครั้งด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง ผิวหน้าจะเนียนนุ่มขึ้น รูขุมขนกระชับ และความมันลดลง สูตรนี้สามารถเปลี่ยนจากน้ำมะนาวมาเป็นน้ำมะขามเปียกก็ได้ค่ะ

สูตร 2 ดินสอพองกับน้ำผึ้ง

สำหรับคนผิวแห้ง แพ้ง่าย มะนาวอาจจะทำให้เกิดความระคายเคืองและแห้งมากขึ้น สูตรนี้จึงใช้น้ำผึ้งที่มีคุณสมบัติสมานผิวเข้ามาแทนที่และยังเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยน้ำมันงา

ส่วนผสม 

- ดินสอพองสะตุ 3 - 4 เม็ดใหญ่ 

- น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา

- น้ำเปล่า 1/2 ช้อนชา

- น้ำมันงา 1/2 ช้อนชา 

วิธีทำ นำดินสอพองสะตุมาบดละเอียดผสมน้ำผึ้งและน้ำมันงา (หรือน้ำมันมะกอกก็ได้) คนให้เข้ากันน้ำมาพอกให้ทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 - 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด หลังล้างหน้าจะมีความมันของน้ำมันงาหลงเหลืออยู่บ้าง หากไม่ชอบให้ล้างด้วยน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น 

สูตร 3 ดินสอพองกับขมิ้น น้ำนม

น้ำนมมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น บวกกับขมิ้นที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย แก้ผดผื่นคัน และบำรุงผิวให้เปล่งปลั่งด้วย สูตรนี้เหมาะกับทุกสภาพผิว

ส่วนผสม 

- ดินสอพองสะตุ 4 - 5 เม็ดใหญ่

- นมสด 2 ช้อนชา

- น้ำขมิ้น 1 ช้อนชา

วิธีทำ น้ำขมิ้นนำหัวขมิ้นมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นแว่นแล้วตำจนแหลกผสมน้ำเล็กน้อยกรองเอาน้ำด้วยผ้าขาวบาง บดดินสอพองสะตุจนละเอียดแล้วคนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 15 - 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

ประโยชน์ของดินสอพอง

1. ดินสอพองถือเป็นสมุนไพรรสยาเย็น ใช้แก้พิษร้อนกับร่างกายถอนพิษอักเสบ แก้ผด ผื่น และคัน

และที่พิเศษคือเป็นยาห้ามเหงื่อนอกจากไม่ทำให้ร่างกายเหนียวเหนอะจากอากาศร้อนแล้วยังทำให้

ร่างกายเย็นสบาย

2. การใช้ดินสอพองประหน้า สามารถป้องกันแดดด้วยมีฤทธิ์คล้ายยากันแดดชนิดกายภาพและนักวิจัย

เพิ่งพบว่าเป็นยากันแดดได้ดี

3. มีสรรพคุณช่วยขจัดสิวเสี้ยน ลดอาการปวดบวมจากการอักเสบเขียวช้ำช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น เมื่อ

นำมาผสมกับสมุนไพรแล้วนำมาขัดผิวขัดตัว พอกหน้า จะได้ผลดียิ่งขึ้น เหมาะกับผิวมันเพราะหากใช้กับ

ผิวแห้งจะทำให้ผิวยิ่งแห้งไปกว่าเดิม

4. ใช้ขัดผิว คือ ดินสอพองผสมขมิ้นและมะขามเปียก ขัดหน้าขัดผิวช่วยให้ผิวพรรณสดใสสวยงาม หรือ

ใช้ดินสอพองผสมขมิ้นลิ้นทะเล และพิมเสน ใช้ลอกฝ้า เป็นต้น

5. นำดินสอพองมาผสมกับใบทองพันชั่ง ก็มีสรรพคุณชั้นเยี่ยมในการรักษากลากเกลื้อนได้เช่นกัน

6. ใช้ดินสองพอง ขมิ้นชัน ไพล เหงือกปลาหมอ ผสมรวมกันถ้าใช้เต็มสูตรนอกจากได้สีออกเหลืองๆ

แล้วเมื่อนำไปทาตัวไปจะเป็นเหมือนการขัดผิวนั่นเอง

7. ใช้ทาแก้ผิวหนังแพ้ ลมพิษ และผื่นคัน ให้ผสมดินสอพองกับใบเสลดพังพอนตัวเมีย(พญายอ) สูตรนี้

เป็นแป้งน้ำไทยหรือเรียกว่าคาลาไมน์สมุนไพร (จะมีสีเขียว)ถ้าจะเปลี่ยนเป็นสีสันฉูดตาขึ้นบ้าง เหยาะน้ำยาอุทัยใส่ดินสอพองละลายน้ำ ก็จะได้แป้งน้ำสีสวยๆ อีกขนานหนึ่งหรืออยากได้สีส้มแสดก็เอาชาดอกคำฝอยมาชงน้ำร้อน ใช้น้ำมาผสมดินสอพองหรือต้องการสีน้ำเงินม่วงเด็ดดอกอัญชันมาขยี้ละลายน้ำถ้าต้องการสีแดง ไปถากเอาเปลือกต้นสะเดาใส่น้ำต้มให้เดือดหรือที่หาง่ายๆก็ใช้ดอกกระเจี๊ยบแดง ต้มน้ำก็ได้สีแดง

8. ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษเผ็ดที่โดนพริก ใช้ดินสอพองผสมน้ำทาบริเวณที่ร้อน

9. ผสมน้ำมะกรูด หรือน้ำมะนาว ทาแก้หัวโน

คำแนะนำและข้อควรระวัง

เนื่องจากดินสอพองเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากดินธรรมชาติผสมกับน้ำแล้วนำมาตากแดดกลางแจ้ง ดังนั้นจึงมีโอกาสการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ ควรระมัดระวังในการใช้ อย่าใช้กับบริเวณที่มีบาดแผล รอยถลอก หรือเข้าปาก เพราะจะเป็นทางที่เชื้อจุลินทรีย์จะเข้าสู่ร่างกายได้อาจมีผลให้เกิดการอักเสบรุนแรง  โดยเฉพาะเชื้อ Pseudomonas aeruginosaอาจทำให้ตาอักเสบรุนแรงถึงตาบอดได้ สำหรับเชื้อ Escherichia coli, Salmonella spp. และ Clostridium spp ถ้าเข้าร่างกายทางปากอาจทำให้เกิดโรค
อาหารเป็นพิษได้

โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย
คำแนะนำและข้อควรระวัง
      เนื่องจากดินสอพองเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากดินธรรมชาติผสมกับน้ำแล้วนำมาตาก แดดกลางแจ้ง ดังนั้นจึงมีโอกาสการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ ควรระมัดระวังในการใช้ อย่าใช้กับบริเวณที่มีบาดแผล รอยถลอก หรือเข้าปาก เพราะจะเป็นทางที่เชื้อจุลินทรีย์จะเข้าสู่ร่างกายได้อาจมีผลให้เกิดการ อักเสบรุนแรง โดยเฉพาะเชื้อ Pseudomonas aeruginosaอาจทำให้ตาอักเสบรุนแรงถึงตาบอดได้ สำหรับเชื้อ Escherichia coli, Salmonella spp. และ Clostridium spp ถ้าเข้าร่างกายทางปากอาจทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษได้

ที่มา. บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย


ผักเสี้ยนผี

 



     คุณค่าสมุนไพรไทย......ผักเสี้ยนผี สมุนไพรมหัศจรรย์สำหรับผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต

     ช่วงนี้ตามหาสมุนไพรสำหรับผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต เดินไปตรงไหนเราก็มักจะพบเจอผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมีปัญญาสุขภาพเกี่ยวกับโครงสร้างร่างกายเสียสมดุล นับเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้สูญเสียศักยภาพในการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก จุดเด่นของไม้ต้นนี้คือ ส่วนต่างๆ มีต่อมขนเหนียวปกคลุมหนาแน่น ใบประกอบมี 3-5 ใบย่อย ผลแบบแคปซูลยาว เมื่อเช้าเราไปเก็บฝักแก่เพื่อเอาเมล็ดไว้ขยายพันธุ์ จะเป็นยางเหนียวๆติดมือ

     ชื่อสามัญ :Wild Spider flower, Phak sian phee.
      ชื่อวิทยาศาสตร์ :Cleoma viscosa Linn. วงศ์ CLEOMACEAE
     ชื่ออื่นๆ ส้มเสี้ยนผี (ภาคเหนือ) ผักเสี้ยนตัวเมีย ไปนิพพานไม่รู้กลับ

ลักษณะ
      เป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มี ขนาดเล็ก หรือจัดอยู่ในจำพวกหญ้า แตกกิ่งก้านสาขาตามลำต้นจะมีขนอ่อนสีเหลืองปกคลุมทั้งต้นและมีเมือกเหนียว ๆอยู่ภายในลำต้น ใบเป็นใบรวม ช่อหนึ่งจะมีใบอยู่ 3 - 5 ใบ ซึ่งจะออกสีเขียวอมเหลือง ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปไข่ เนื้อในบางนุ่ม ตามผิวใบจะมีขนอ่อน ๆ ปกคลุมเช่นกัน มีกลิ่นฉุน กว้าง 0.5 - 1 นิ้ว ยาว 0.5 - 2 นิ้ว ดอกออกเป็นช่อ อยู่ตามง่ามใบ ช่อดอกยาวแหลม ดอกมีสีเหลืองบาง ที่ปลายดอกมีจงอยแหลม และมีขนปกคลุมอยู่เล็กน้อย ผลเป็นฝักยาว คล้ายฝักถั่วเขียว แต่จะมีขนาดเล็กกว่ามาก ตรงปลายผลมีจงอยแหลม ผลกว้างประมาณ 2 - 4.5 มิลลิเมตร ยาว 1 - 4 นิ้ว เมล็ดเมล็ดในผลมี สีน้ำตาลแดง ผิวย่น ใน 1 ผล มีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดมีรูปร่างกลม ขนาดประมาณ 2 มิลลิเมตร

สรรพคุณและวิธีใช้
      ผักเสี้ยนมีน้ำมันหอมระเหย (Volatic Oil) ประกอบด้วย Cyanide ซึ่งจะมีผลระบบทางเดินโลหิต และสารไฮโดรไซยาไนด์ (Hydrocyanide) ซึ่งมีพิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง และยังมีกลิ่นเหม็นเขียวอย่างแรง เด็กรุ่นใหม่พอเข้าใกล้ได้กลิ่นผักเสี้ยนก็มักจะไม่ชอบ จึงทำให้สูญเสียโอกาสที่จะเรียนรู้คุณประโยชน์และภูมิปัญญาที่ว่าทำไมคุณย่า คุณยาย รวมถึงคุณแม่ด้วยจึงชอบผักเสี้ยนดองนัก
ต้นใช้ปรุงเป็นยาแก้ฝีในปอดแก้ขับหนองในร่างกาย หรือให้หนองแห้ง แก้ฝีในลำไส้ ในตับ ขับพยาธิในลำไส้ได้ โรคข้ออักเสบ ทาภายนอกแก้โรคผิวหนัง ใบนำมาพอกแก้ปวดหัวบดกับเกลือทาแก้ปวดหลัง และแก้ปัสสาวะพิการ

     ผักเสี้ยนผีมีฤทธิ์ แก้ปวดเป็นยาชาเฉพาะที่ เสริมฤทธิ์การนอนหลับ ยับยั้งเชื้อ HIV
ในตำรายาโบราณมักนำผักเสี้ยนผีไปเข้าตำรับยารักษาอาการปวดเมื่อยหรือหุง ทำน้ำมัน ใช้สำหรับนวด ยานวดตำรับนี้อาจารย์เนตรดาว ยวงศรี จากกองทุนชีวกโกมารภัจจ์ แนะวิธีการหุงไว้ คือ ใช้ผักเค็ดเลือกเอาแต่ใบสด (วัชพืชที่มักขึ้นคู่กับผักเสี้ยนผี หน้าตาคล้ายผักเป็ดหรือคราดหัวแหวน) ใช้เพชรสังฆาตสด ตองตึง ผักเสี้ยนผี เลือกเอาแต่ใบสด นำไปเคี่ยวในน้ำกะทิ (เลือกเอาแต่หัวกะทิ) เคี่ยวนานประมาณ 6-7 ชั่วโมง จะได้น้ำมันสีเขียวใส จึงเรียกว่าน้ำมันเขียวมรกต สรรพคุณดีมาก หรือจะหุงผักเสี้ยนผีสูตรเดี่ยว แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยนำน้ำกะทิเคี่ยวให้ร้อน เอาผักเสี้ยนผีล้างสะอาดสับเคี่ยวด้วยกัน ใส่เมนทอลเล็กน้อยเพื่อกลิ่นหอม และเพิ่มพลังแทรกซึมของตัวยานวด แก้ปวดเมื่อย ช้ำบวม อักเสบ
นอกจากนี้ นำผักเสี้ยนผีไปต้มเอาน้ำกระสายยาแก้ซางขึ้นทรวงอก ถ้ามีอาการปวดหัวใช้ใบสดตำพอกที่
เมล็ดผักเสี้ยนนำมาต้มหรือชงเป็นชาดื่มช่วยขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ฆ่าพยาธิไส้เดือน ถ้ามีอาการปวดหลังให้ใช้ใบสดตำผสมเกลือทาแก้ปวดหลังในตำรายาโบราณมักนำผัก เสี้ยนผีไปเข้าตำรับยารักษาอาการปวดเมื่อยหรือหุง ทำน้ำมัน ใช้สำหรับนวด ยานวดตำรับนี้อาจารย์เนตรดาว ยวงศรี จากกองทุนชีวกโกมารภัจจ์ แนะวิธีการหุงไว้ คือ ใช้ผักเค็ดเลือกเอาแต่ใบสด (วัชพืชที่มักขึ้นคู่กับผักเสี้ยนผี หน้าตาคล้ายผักเป็ดหรือคราดหัวแหวน) ใช้เพชรสังฆาตสด ตองตึง ผักเสี้ยนผี เลือกเอาแต่ใบสด นำไปเคี่ยวในน้ำกะทิ (เลือกเอาแต่หัวกะทิ) เคี่ยวนานประมาณ 6-7 ชั่วโมง จะได้น้ำมันสีเขียวใส จึงเรียกว่าน้ำมันเขียวมรกต

     สรรพคุณดีมาก นอกจากนี้ นำผักเสี้ยนผีไปต้มเอาน้ำกระสายยาแก้ซางขึ้นทรวงอก ถ้ามีอาการปวดหัวใช้ใบสดตำพอกที่ เมล็ดผักเสี้ยนนำมาต้มหรือชงเป็นชาดื่มช่วยขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ฆ่าพยาธิไส้เดือน ถ้ามีอาการปวดหลังให้ใช้ใบสดตำผสมเกลือทาแก้ปวดหลังสมุนไพรรักษาอาการหูเป็น น้ำหนวกหรือมีเสียงในหู วิธีใช้ นำเอาใบผักเสี้ยนผี ๒-๓ ใบ ล้างให้สะอาดและใช้มือขยี้จนใบแตกจึงเอาไปปิดรูหูไว้ ใบผักเสี้ยนผีจะทำให้เกิดอาการปวดขึ้นมากแต่ให้อดทนไว้ น้ำหนวกไหลออกมามากต้องเอาใบผักเสี้ยนออกและทำอีกหนจนน้ำหนวกไหลออกมาจนหมด ในที่สุดอาการเจ็บป่วยก็หายสิ้น

     คำแนะนำ ใบผักเสี้ยนผีนี้ยังมีคนใช้กับอาการปวดหูอื่นๆ ได้ดีอีกด้วย

     ประโยชน์ เมล็ดมีน้ำมันและกรด linoleicสูง รับประทานได้ในอินเดีย ใช้เป็นสมุนไพรมีสรรพคุณเป็นยาพอกแก้ปวดหัวและปวดตามข้อในอินเดียและจีน

     ตำรับยาเข้ายาแก้เหน็บชาตามแข้งขา ต้มผักเสี้ยนผีกับ ใบบัวบก มะขวิด กินเป็นประจำ

     สูตรรักษาอาการปวดหัวเรื้อรังได้คือ
        เอาแก่นต้นขี้เหล็กบ้าน 15 กรัมต้นผักเสี้ยนผี ไม่รวมราก15 กรัม และต้นแมงลัก ไม่รวมราก 15 กรัม ต้มรวมกันกับน้ำจนเดือด ดื่มขณะยังอุ่น ครั้งละ 1 ถ้วยกาแฟ วันละ 4 ครั้งเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ต้มกิน 2-3 วัน ติดต่อกันแล้วเว้น 2-3 วัน จึงต้มกินอีก 2-3 ครั้ง อาการจะดีขึ้น ให้ต้มกินอีก 2-3 ครั้ง หรือต้มกินได้เรื่อยๆจนหายแล้วหยุดกิน มีอาการเมื่อไรต้มกินใหม่ได้

     รักษาอาการพิษงูกัด
       ท่านให้เอา ต้นผักเสี้ยนผีทั้งห้า (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) นำมาล้างให้สะอาดตำให้ละเอียด ผสมกับ เหล้า คั้นเอาเฉพาะน้ำยา ใช้รับประทาน ใช้กากพอกที่ปากแผล มีสรรพคุณแก้พิษงูกัด ฯ อีกขนานท่านให้เอา ต้นผักกะเฉด ต้นผักคราด ต้นผักเสี้ยนผี ต้นผักชีใหญ่ ทั้ง ๔ อย่างนี้ เอาอย่างละเท่า ๆ กัน นำมาล้างน้ำ ให้สะอาด ตำให้แหลก ผสมกับ สุรา หรือ น้ำซาวข้าว เป็นกระสาย คั้นเอาน้ำยาประมาณ ๑ ถ้วยชา ใช้รับประทาน ใช้กากยาพอกที่ปากแผล มีสรรพคุณแก้พิษงูกัด แก้เลือดทำ ฯ ทั้งสองขนานนี้มีสรรพคุณแก้พิษงูกัดทุกชนิด แก้ได้ทุกกรณี แม้ผู้ถูกงูกัดนั้นจะสลบ หมดสติ แน่นิ่ง ไม่รู้สึกตัวแล้วก็ตาม ก็พึงช่วยกันงัดปากให้อ้าออก แล้วกรอกน้ำยาให้เข้าสู่ท้องให้ได้ ผู้ป่วยจะฟื้น ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ฯ

    รักษาริดสีดวงบานทะโรค
      ผักเสี้ยนผีทั้งห้า กระเพราทั้งห้า แมงลักทั้งห้า ขอบชะนางแดงทั้งห้า แก่นขี้เหล็ก
ต้มดื่มก่อนอาหาร เช้า-เย็น ครั้งละ ๑ ถ้วยชา ผักกระชับ เปลือกยาง ปูนขาว น้ำปัสสาวะ ต้มรมปากทวารวันละ ๑ ครั้ง

     รักษาเบาหวาน
        แก่นขี้เหล็ก ผักเสี้ยนผี ขมิ้นอ้อย หัวแห้วหมู รากเจตมูลเพลิง อย่างละ ๕ บาท ฟ้าทะลายโจรเท่ายาทั้งหมดรวมกัน ตากแห้ง บดเป็นผง ผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอน ขนาดปลายนิ้วก้อย กินเช้า-เย็น ครั้งละ ๓ เม็ด หายแล

     รักษาโรคเบาหวาน อีกขนาน
        เถาบอระเพ็ด หัวแห้วหมู ขมิ้นชัน ผักเสี้ยนผี หนักเท่ากัน ตากแห้งบดผง ผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอน หรือจะอัดแคปซูลก็ได้ รับประทานประจำเป็นยาอายุวัฒนะ ผมเคยปรุงยานี้อยู่ราว ๒ ปี มีสรรพคุณดีมากอยู่ รักษาได้ทั้งเบาหวาน และลดความอ้วน แต่ผมผสมเกสรผึ้งลงไปด้วย สูตรเดิมเป็นตำราลายแทงจากเมืองพิษณุโลก ให้ปริศนาไว้ว่า หึ่งอากาศ พาดยอดไม้ ไซร้ธรณี หนีสงสาร ไปนิพพานไม่กลับ หมอโบราณแต่ละท่าน แต่ละภาคมักตีความหมายไม่เหมือนกัน ที่แตกต่างกันจะเป็นหนีสงสาร บางท่านว่าหัวไพล บางท่านว่า ขมิ้นอ้อย บางท่านว่าขมิ้นชัน ตัวผมตีเป็นขมิ้นชัน เพราะพระใช้ขมิ้นชันย้อมจีวร บวชเพื่อหนีสงสาร

      ลูกประคบแก้อัมพฤกษ์อัมพาตตำรับของจันทบุรี ยานี้ประกอบด้วย
        1. หัวไพล
        2. หัวหอมเปราะ
        3. หัวว่านเหลือง
        4. ผักเสี้ยนผี
        5. ผิวมะกรูด
        6. ใบหนาด
        7. พิมเสน
        8. การบูน
        9. เมนทอล
       10. เหล้าขาว
      วิธีปรุง
        1. หายาที่ต้องการเมื่อหาครบทุกอย่างแล้วควรหั่นแต่ละ สิ่งนั้น เอาอย่างละหนึ่งกำมือถ้าต้องการ ตัวยามากก็เพิ่มตามส่วนที่ต้องการ
       2. เมื่อนำมาหั่นเรียบร้อยแล้ว เอายารวมกัน แล้วนำมาโขลก หรือบดกับเครื่องบดยาก็ได้
       3. ยาที่บดเสร็จแล้ว นำมาผสมกับ (เหล้า-พิมเสน แมนท่อน) “เหล้าขาว 2 แก้ว” และการบูร
       4. เคล้ากันให้ทั่ว พอควรจึงบีบเอาน้ำยาไว้ เพื่อทาส่วนนอกของร่างกาย
       5. นำกากยาที่เหลือจากการบดคั้นเอาน้ำไว้ นำกากยามาใส่ที่ผ้าขาวบาง นำมานึ่งเพื่อต้องการความร้อน พออุ่นๆ ที่จะแตะผิวหนังได้ เวลาที่ทำควรนำลูกประคบ 2 ลูก เพื่อผลัดเปลี่ยนเวลารักษาจะได้ไม่เสียเวลา

อาการของผู้ป่วย
      เมื่อเริ่มเป็นวันแรกจะรู้ตัวทันทีเมื่อเกิดขึ้นเวลา ใดก็แล้วแต่จะทำให้มึน ชา ตามัว ปากเบี้ยว สมองมึน งง และจะชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แขน ขา ถ้า ผู้ใดเป็นโรคนี้แล้วไม่ได้รับการรักษาแบบโบราณจะมี โอกาสหายยากหากร่างกายเป็นโรคนี้ในระยะ 1-3 วัน สามารถแก้ไขได้ทัน รักษาเพียง 7 วันก็หายแต่ถ้าเป็น โรคนี้นานจะต้องมีการจับเส้น จุดที่เกิดโรค อัมพฤกษ์ - อัมพาต พร้อมทั้งรับประทานยาต้มควบคู่กันไปด้วย

      เมื่อทำเช่นนี้แล้วยังมียาต้ม อบให้ผู้ป่วยได้ถ่าย เหงื่อร้ายในร่างกายที่ไม่ได้ออกกำลังกายในระยะที่ป่วย อยู่นั้น ให้หายป่วยเร็วขึ้น ถ้าใครได้รับการรักษาแผน โบราณนี้ จะมีโอกาสที่จะหายได้นักแล ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ นางเพียร ศุภพร สมาชิกสมาคมแพทย์แผนโบราณ วัดสุทธิวารี อ.เมือง จ.จันทบุรี 22000

      ส่วนที่มาของชื่อผักเสี้ยนผีที่บางคนเรียกว่าไปนิพพานไม่กลับนั้นเป็นเพราะ คนโบราณมักซ่อนปัศนัย์ให้ตีความคือไม่เรียกชื่อตรงๆ ตำรับนี้เป็นตำรับยาอายุวัฒนะสูตรโบราณที่คนเรียนแพทย์แผนไทยทุกคนจะต้อง รู้จักและแปลความหมายของปรัศนีย์นี้ได้ ตำรับนี้มีว่า

      อันนี้ของดั้งเดิมแท้ เป็นตำรับยาที่กล่าวไว้เป็นปริศนา สำหรับคนในแวดวงสมุนไพร หรือในหมู่ศิษย์อาจารย์จึงสามารถถอดรหัสตำรับยาอายุวัฒนะนี้ได้ ท่านกล่าวไว้ว่า “ผึ้งอากาศ พาดยอดไม้ หงายธรณี ลูกทาส ลูกไทย พญาช้างดำ พระยาช้างเผือก บวชหนีสงสารไปนิพพานไม่กลับ”
เฉลย ผึ้งอากาศ คือน้ำผึ้ง พาดยอดไม้ คือเถาบอระเพ็ด หงายธรณี คือหญ้าแห้วหมู
ลูกทาส คือเม็ดข่อย ลูกไทย คือพริกไทย พญาช้างดำ คือเปลือกตะโกนา พระยาช้างเผือก คือเปลือกถ่อน (ต้นทิ้งถ่อน) บวชหนีสงสาร คือขมิ้นหัวขึ้น (ขมิ้นอ้อย) ไปนิพพานไม่กลับ คือผักเสี้ยนผี
วิธี ทำ นำตัวยาทั้งหมดมาอย่างละเท่าๆ กัน ตากแห้งแล้วบดเป็นผง ปั้นผสมน้ำผึ้งเป็นเม็ดลูกกลอน
ขนาดเท่าเม็ดพุทรา แล้วตากให้แห้งจึงเก็บได้นาน กินครั้งละ 1 2 เม็ด วันละ 1-2 ครั้ง

     โบราณท่านว่าจะปลูกผักเสี้ยน เลือกเอาคืนเดือนมืด ลงไปบริเวณที่จะปลูก จะเตรียมดินก่อนหรือไม่ไ ม่สำคัญ เอาภาชนะอะไรก็ได้มา 1 ใบ จากนั้น แก้ผ้านุ่ง(ท่านว่าอย่างนี้จริงๆนะ)แล้วกระเดียดภาชนะออกไป ที่ ที่จะปลูก มือทำเป็นหยิบเมล็ดผักเสี้ยนออกจากภาชนะ แล้วหว่านออกไป ให้รอบๆ ปากก็ร้องว่าปลูกผักเสี้ยนจ้าๆ ไม่นานพอฝนตก จะมีผักเสี้ยนงอกขึ้นมาเอง เป็นเรื่องแปลก ท่านเลยว่า ผักเสี้ยนผี (สงสัยผีจะมาดู และช่วยปลูก)

      ต้นผักเสี้ยนผี แมวไม่ได้กินเหมือนตำแยแมว แต่แมวมันจะกลัว ถ้าหากเอากิ่งเพียงเล็กน้อยของผักเสี้ยนผี

     มาวางไว้ที่หลังของแมว จะทำให้แมวตัวหนักท้องติดพื้น เวลาเดินก็จะหลังแอ่นๆเหมือนมีอะไรหนักมาทับตัวมันไว้

ที่มา:http://thaiforestherb.blogspot.com/2012/06/blog-post_07.html
โดย... สมุนไพรบ้านต้นยา



วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

โรคมะเร็งตับ หรือ ฝีรวงผึ้ง ..... ในพระคัมภีร์ทิพย์มาลา

 




 
      มะเร็งตับ คือ เนื้องอกที่เจริญเติบโตโดยไร้การควบคุม เนื้องอกแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ที่เป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็ง และที่เป็นเนื้องอกธรรมดาที่ไม่ได้เป็นเนื้อร้าย

     มะเร็งตับที่เกิดขึ้นในตับเอง หรือที่เรียกว่ามะเร็งตับปฐมภูมิ (Primary Liver Cancer) นั้น แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือมะเร็งเซลล์ตับ (Hepato-cellular Carcinoma) และมะเร็งท่อน้ำดี (Cholangio Carcinoma)

      สำหรับมะเร็งทุติยภูมิ คือมะเร็งที่แพร่กระจายมาจากอวัยวะอื่น เช่น ปอด ตับ ลำไส้ ไม่ถือว่าเป็นมะเร็งตับ

      ในประเทศไทยเรานั้น 95% เป็นมะเร็งเซลล์ตับ (Hepatocellular Carcinoma เรียกย่อว่า HCC) และพบได้ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย แต่พบมากที่สุดในภาคกลาง

      เนื่องจากตับของคนเรามีขนาดใหญ่ คือเป็นอวัยวะภายในที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีกำลังสำรองมาก ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งตับในระยะแรกจึงมักไม่มีอาการอะไร เพราะตับยังคงทำงานได้เกือบปรกติ เมื่อมีอาการที่ชัดเจนมากขึ้นก้อนมะเร็งก็มีขนาดที่ใหญ่มากแล้ว ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุว่าผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งตับมักมีอัตราการอยู่รอดเพียงไม่กี่เดือน เพราะเมื่อพบก็สายเกินไปแล้ว เมื่อมะเร็งได้ลุกลามและมีขนาดใหญ่มากแล้ว

มะเร็งตับมีสาเหตุมาจากอะไร ?

      1. ส่วนใหญ่ของการเกิดมะเร็งตับมีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบบีและซี จากข้อมูลสถิติของหลายสถาบันได้ผลใกล้เคียงกันว่า 80% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นมะเร็งตับ โดยมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติถึง 223 เท่า (ข้อมูลจากหนังสือความรู้เรื่องโรคตับสำหรับประชาชน)

      2. มีข้อมูลที่น่าสนใจประการหนึ่งว่า ประมาณ 90% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับจะมีตับแข็งร่วมด้วย นั่นก็หมายความว่า ถ้าท่านป่วยเป็นพาหะตับอักเสบบี และมีตับแข็งแล้ว ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับจะสูงมากๆ ทีเดียว

      3. มะเร็งตับยังมีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีข้อมูลทางวิชาการที่ยืนยันได้ว่า ผู้ที่ดื่มสุราแอลกอฮอล์เป็นประจำมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับสูงกว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์

      4. สารอะฟลาท๊อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งพบปนเปื้อนอยู่ในถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ ก็เป็นสารก่อมะเร็ง ที่เป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ จากการศึกษาพบว่า อะฟลาท๊อกซิน มีความสัมพันธ์กับไวรัสตับอักเสบบี โดยเชื่อว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นตัวทำให้เกิดมะเร็งตับ และอะฟลาท๊อกซินเป็นตัวเสริม เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี จึงควรที่จะหลีกเลี่ยง ถั่วลิสง โดยเฉพาะถั่วลิสงป่นที่ค้างนานๆ ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว และเต้าหู้ยี้



จะทราบได้อย่างไรว่ากำลังเป
็นมะเร็งตับ ?

      สาเหตุประการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นมะเร็งตับ มีอัตราการอยู่รอดต่ำก็คือ มะเร็งตับในระยะแรกซึ่งจะสามารถรักษาให้หายขาดได้นั้น มักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนออกมา โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลุมเคลือ เช่น เสียดท้องด้านขวา มีอาการจุกแน่นในบางครั้ง แต่โดยส่วนใหญ่แทบไม่มีอาการอะไรเลย ทั้งนี้ ก็เพราะตับเป็นอวัยวะที่มีกำลังสำรองมาก คนเราสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานของตับประมาณ 30% ดังนั้น เมื่อมีอาการที่ชัดเจนมะเร็งก็อยู่ในระยะลุกลาม หรือ มีขนาดใหญ่และไม่สามารถจะรักษาได้แล้ว

อาการของผู้ป่วยมะเร็งตับ

ที่ชัดเจนก็คือ รู้สึกอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร จุกเสียด แน่นท้อง น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว และอาการที่เด่นชัดก็คือ ปวดชายโครงด้านขวา โดยอาจร้าวไปที่ไหล่ด้านขวาหรือลำตัวซีกขวา และอาจคลำพบก้อนที่ชายโครง


การรักษามะเร็งตับด้วยการแพทย์แผนไทย..

กายวิภาคแบบแผนไทย...

      ลักษณะของตับ หรือยกนัง คือ ธาตุดิน (ปัถวีธาตุ) หนึ่ง ใน ๒๐ ประการ ถือเป็นอวัยวะที่สำคัญในร่างกายของเรา เป็นธาตุหลัก ของร่างกาย จึงไม่มีการไประคนกับธาตุอื่น เพียงแต่เป็นฐานคอยรองรับการวิ บัติของธาตุอื่น เมื่อเกิดการกำเริบ หย่อน พิการ แล้วทำให้เกิดโรคต่างๆ โดยในตำรากล่าวไว้ว่า ตับคือเนื้อสองแผ่นสีแดง ตั้งอยู่ตรงกลางอกข้างขวา

      เมื่อธาตุดินพิการ... ยกนังพิการ (ในคัมภีร์โรคนิทานและธาตุวิภังค์) ให้มีอาการตับโต ตับทรุด เป็นฝีในตับ และตับพิการต่างๆ ถ้าพิการแตกก็ดี เป็นเพราะโทษ ๔ ประการ คือ

      ๑) กาฬผุดขึ้นในตับ ทำให้ตับหย่อน
      ๒) เป็นฝีในตับ ให้ลงเป็นโลหิตสดๆ ออกมา
      ๓) กาฬมูตรผุดขึ้นในตับ ให้ลงเป็นเสมหะโลหิตเน่า ปวดมวนอยู่เสมอ ให้ตาแดงเป็นสายโลหิต สมมุติเรียกว่า กระสือปีศาจเข้าปลอมกิน เพราะคนไข้จะเพ้อหาสติมิได้ เจรจาด้วยผี หมอจะแก้ยากนัก
      ๔) เป็นด้วยปัถวีธาตุแตกเอง ให้ระส่ำระสาย ให้หอบไออยู่เป็นนิจ บริโภคอาหารไม่ได้ หายใจไม่ถึงท้องน้อย

การวินิจฉัยโรค.... ฝีรวงผึ้ง

       การรักษา...ให้ยารักษาฝีรวงผึ้ง 


 คำแนะนำ....
      งดอาหารแสลงโรคต่างๆ เช่น อาหารทะเล เนื้อวัว ควาย เป็ด ห่าน เครื่องในสัตว์ ไข่ นมจากสัตว์ ของหมักดองทุกชนิด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารหวานจัด ผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน ฯลฯ

ที่มา: บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

เรื่องของจิต ในการแพทย์แผนไทยดั้งเดิม

 



     ดั่งคำกล่าวที่ว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" เฉกโบราณว่าไว้เป็นความจริงแท้ เช่นเมื่อใจมีความต้องการสิ่งใดจักไปปรากฎที่กาย เกิดเป็นอาการหิวข้าวหิวน้ำ กายเราจะรับรู้ก่อน หากเราไม่ปฎิบัติตามเจ้านายของเราคือใจ ก็จักลงโทษกายที่เป็นบ่าว ด้วยอาการตาลาย ตาพร่า มือไม้สั่น เป็นลมหน้ามืดได้ อาการที่กายจึ่งไปปรากฎที่ใจ เป็นลำดับแรกเสียก่อนเสมอ ใจจึ่งเป็นนาย กายจึงเป็นบ่าวรับใช้ใจอีกที หากกายป่วยไข้มีอาการ ก็เฉกเช่นเดียวกันจักไปปรากฎบอกที่ใจว่าป่วยแล้ว ใจเมื่อรับรู้จิตจึงพากายไปรักษา

     ด้วยเหตุฉะนี้หมอไทยแต่นานมาจึ่งรักษากายพร้อมรักษาใจผู้ไข้ไปพร้อมกันเสมอ มา แลสอนสั่งเหล่าศิษย์ให้เข้าใจในจิตเพื่อเข้าใจในใจของตนแลผู้ไข้ ใจหมอจึ่งต้องเข็มแข็งแลมีสติมั่นเพื่อรักษาใจของผู้ไข้ที่อ่อนแอกว่านั้นใน ทุกครั้งของการรักษา

     คำว่า "จิต" มีอยู่ในทุกศาสนาของฝั่งชนตะวันออก แลมีความเจริญยิ่งในองค์ความรู้นี้ผ่านทางศาสนาของคนตะวันออกเองทุกศาสนาไม่ ว่าจะเป็นพุทธเป็นอิสลามหรือความเชื่อดั้งเดิมอื่นๆอีกมาก

จิต ต่างกันกับ ใจ  ในพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถานกล่าวไว้ดั่งนี้
      "จิต" สิ่งที่มีหน้าที่คิด
      "ใจ" สิ่งที่มีหน้าที่รู้
      จิตใจ จึงหมายถึง สิ่งที่ทำหน้าที่รู้แล้วจึ่งคิด รู้หมายสติ คิดหมายปัญญา ใจจึงไปบอกกายให้รู้ เมื่อรู้แล้วจึ่งคิดตามที่ใจหมายแจ้งนั้น ฉะนั้นเมื่อกายป่วยใจจึงป่วย ตามที่ใจแจ้งแก่กาย เมื่อใจรู้จิตจึงคิดไปตามที่ใจแจ้ง

     จิตหรือเจตสิก เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยใจผ่านทางประสาทสัมผัสทั้งห้าประการ เกิดเป็นความต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามมา นั่นคือสัจจะธรรมชาติเป็นปรกติธรรมดาโลก ชนแพทย์ฝั่งตะวันออกรับรู้เช่นนี้เหมือนกันหมดทุกๆชนไม่ว่าเชื้อชาติใดก็ตาม

     บรมครูแพทย์แผนไทยแต่นานมาท่านก็ทราบเช่นดั่งนี้จึ่งมีศาสตร์สำหรับเข้าใจใน จิตผู้ไข้ เพื่อเข้าใจแลรักษาพร้อมกันไปกับกายของผู้ไข้นั้น กายป่วยใจป่วยตาม ใจป่วยกายก็ป่วยตาม รักษากายที่กาย รักษาใจที่จิต เพราะจิตเป็นผู้คิดไปรักษาใจอีกที

     จิตสำแดงอาการผ่านทางประสาทสัมผัสทั้งห้าเช่น ตาแดง,หูแดง,จมูกแดง,ปากแห้งลิ้นแห้ง,กายอุ่นร้อน สำแดงว่าจิตใจนั้นร้อนรุ่ม มีภาวะทางอารมณ์ความวิตกจริตเป็นอาจิณ จิตพาใจให้ฟุ้งซ่านไป จิตยังสำแดงอาการออกได้ผ่านทางตาดำ แพทย์จักมองที่แววของตาดำว่ามีแววใด เช่นเศร้าหมอง,หดหู่,ร่าเริง,มีความสุข เป็นต้น

     จิตหรือเจตสิก จึ่งเป็นผู้กำหนดใจ ใจไปกำหนดกายอีกที มองจิตจึ่งรู้ใจ เห็นในใจจึ่งรู้กาย หมอไทยจึงต้องฝึกจิตของตนเพื่อรู้ใจผู้ไข้ ฝึกจิตเช่นใดครูท่านแจ้งว่า ให้มีความเมตตาเป็นพื้นเสียก่อนจากนั้นใจจะอ่อนโยนตามมา เมื่อใจอ่อนโยนลงจิตจักสงบร่มเย็นเกิดเป็นปัญญาได้ เมื่อเกิดปัญญาเมื่อใดจักเข้าสู่จิตใจของผู้ไข้ได้โดยทันที เป็นธรรมชาติปรากฎขึ้นในจิตของหมอเอง อธิบายไม่ได้เป็นภาษาพูด เพราะสิ่งที่เกิดเป็นภาษาใจ เข้าใจได้ด้วยใจเท่านั้น

     " สัมผัสทั้งห้า ผ่านทางกาย เข้าสู่ใจ จากใจตรงไปที่จิต จิตดำริความต้องการนั้น ไปปรากฎที่ใจ ใจสำแดงออก

     ผ่านทางสัมผัสทั้งห้าสิ้น เกิดเป็นอาการทางกายตามมาในที่สุด " หมอไทยจึ่งจำต้อง เรียนกายเรียนใจเรียนจิต เพื่อรักษากายแลใจผู้ไข้ ช่างเป็นความละเอียดอ่อนลึกซึ้งยิ่งแห่งวิชาแพทย์แผนไทยภูมิรู้แห่งบรมครู แพทย์แต่นานมา การสงบกายจักนำมาซึ่งการสงบใจ การสงบใจนำมาซึ่งการสงบของจิต การปฎิบัติสมาธิซึ่งมีในทุกศาสนาของชนตะวันออก เป็นภารกิจที่จำเป็นของแพทย์แผนไทยทั้งนี้เพื่อจักฝึกใจฝึกจิตให้นิ่งให้ เกิดปัญญา ใช้สำหรับการวินิจฉัยอาการ,ใช้สำหรับรักษาใจผู้ไข้ หมอไทยจึงมีความเมตตาเป็นพื้นทุกท่านด้วยถูกฝึกการสงบกายมา ใจหมอต้องนิ่งที่สุดเพราะเราจักต้องพบใจอันไม่สงบของผู้ไข้ ใช้ความนิ่งเป็นปัญญารักษา

ลำดับขั้นตอนการฝึกจิตสำหรับแพทย์แผนไทยให้กระทำดั่งนี้
      ๑. ฝึกความสะอาดทางกาย แลเครื่องแต่งกายต้องเป็นระเบียบ,สีสะอาดตา
      ๒. เมื่อกายสะอาดมาก เครื่องแต่งกายงามสม ใจจะรับรู้ความสะอาดและความเป็นระเบียบนั้น
      ๓. ฝึกความเป็นระเบียบของกริยาสำแดงออก ต้องละเอียดอ่อนปราณีต
      ๔. ฝึกสายตาให้มองทุกอย่างแบบละเอียดลออและครอบคลุม ดุจดั่งนกเหยี่ยวมองลงมายังพื้นดิน
      ๕. เมื่อกายสะอาด เครื่องแต่งกายงามสม มีระเบียบชีวิต มีสายตาอันปราณีต ใจจักรับรู้ทั้งหมด
      ๖. เมื่อใจได้รู้ถึงเพียงนี้ ความเมตตาจักปรากฎต่อสรรพสิ่ง นำมาซึ่งความอ่อนโยนไม่กระด้าง
      ๗. เมื่อความอ่อนโยนปรากฎ จักปรากฏเริ่มที่ใจก่อน
      ๘. เมื่อใจอ่อนโยนลง ให้เริ่มฝึกกายให้นิ่ง ให้ใจสงบร่มเย็นด้วยการปฎิบัติสมาธิ สงบกายแลใจพร้อมกัน
      ๙. เมิ่อกายแลใจนั้นสงบ จิตจักเริ่มนิ่งขึ้นไม่สาดส่ายไปมา จิตสงบเกิดเป็นปัญญาในที่สุด
      ๑๐. เมื่อจิตนั้นสงบ จักเกิดความเข้มแข็งของจิต จิตที่เข้มแข็งแลสงบนั้นจักเข้าใจเข้าไปในใจของผู้ไข้ได้
      ๑๑. เมื่อเข้าไปในใจของผู้ไข้ได้เมื่อใด จักรู้ว่าจะรักษาใจผู้ไข้นั้นได้อย่างไรด้วยจิตของหมอเองเท่านั้น

ทั้งหมดแพทย์ต้องฝึกด้วยตนเองไม่มีทางลัดไม่มีสูตรสำเร็จใดใดทั้งสิ้น เพราะเกิดขึ้นที่จิตไม่ใช่ที่กาย สิ่งเหล่านี้คือธรรมชาติปรกติ มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ทุกคนหากปฎิบัติอย่างสม่ำเสมอ แลแพทย์แผนไทย พึ่งกระทำเช่นนี้อย่างจำเป็นยิ่ง เพื่อสืบสานองค์ความรู้แห่งบรมครูแพทย์แต่นานมานั่นเอง และที่สำคัญเพื่อผู้ไข้ทั้งปวงของแพทย์เอง

หมายเหตุ
เป็นบทความที่เขียนยากมาก ที่จักทำให้ผู้อ่านพึงเข้าใจได้แต่เห็นถึงความจำเป็นที่แพทย์แผนไทย ต้องฝึกแลฝนจิตแห่งตนเพื่อผู้ไข้ต่อไป

ที่มา: อ.คมสัน ทินกร

ทำไมหมอสายทางเลือกถึงชอบถามถึง....ประจำเดือน

 


     ทำไมหมอสายทางเลือกถึงชอบถามถึง....ประจำเดือนแถมถามละเอียดลงลึกถึงขั้นสี ปริมาณ ก้อนเลือด รอบเดือนช้าเร็ว ทั้งๆที่ชั้นไม่ได้มาหาหมอเพราะเรื่องนี้ซักหน่อย เพราะผู้หญิง มีความสัมพันธ์กับเลือดมาก เพราะต่างก็เป็นธาตุหยิน (ธาตุเย็น) แผนไทยธาตุน้ำ ทั้งคู่ขณะเดียวกันพื้นฐานร่างกายของผู้หญิงก็มีความสัมพันธ์อวัยวะตับ
      1. ตับเป็นอวัยวะที่กักเก็บเลือดไว้ ก่อนจะปล่อยไปให้อวัยวะอื่นๆใช้งาน
      2. เส้นลมปราณตับเดินผ่านอวัยวะเพศ และหน้าอก
      3. ตับเป็นตัวควบคุมการเดินของลมปราณในร่างกายให้คล่องตัว รวมไปถึงอารมณ์ต่างๆด้วย

     เมื่อทำความเข้าใจตรงนี้ได้แล้วต่อไปก็จะอ่านเข้าใจได้ง่ายกว่าเดิมครับ คราวนี้เรามาไล่ดูกันครับว่า สี ปริมาณ ก้อนเลือด รอบเดือนช้าเร็ว ทำให้หมอจีนรู้อะไรบ้าง


สีของเลือดประจำเดือน
      สีแดงเข้ม มักจะเป็นคนที่ร้อนในครับ คิดสภาพว่าไฟมันร้อนเลือดเลยสีเข้ม เหนียวข้น คุณ มักจะหิวน้ำ ท้องผูก หงุดหงิดง่าย

     สีแดงซีด คือคนที่ขาดเลือดครับ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นโรคโลหิตจาง ไปตรวจปริมาณเม็ดเลือดอาจจะยังปกติไม่มีปัญหา คุณมักจะเป็นคนไม่มีแรง หน้าซีด เล็บซีด ปากซีด เวียนศีรษะ หลงลืมง่าย นอนไม่หลับ

     สีแดงคล้ำ คือคนที่มีเลือดคั่งอยู่ข้างในครับ ส่วนใหญ่ประจำเดือนสีนี้มักจะมีลิ่มเลือดออกมาด้วยเสมอ สีประจำเดือนแบบนี้เกิดได้หลายสาเหตุ คุณอาจจะเป็นคนขี้หนาว หรืออยู่ในห้องเย็นๆเป็นประจำ หรืออาจจะเป็นคนที่เครียดมาก เครียดบ่อย


ปริมาณของเลือดประจำเดือน ควรจะดูประกอบกับสีด้วยจะบอกข้อมูลได้ชัดเจนขึ้นไปอีก

     ประจำเดือนมาน้อย + สีแดงซีด เลือดน้อยจนไม่มีเลือดจะให้เสียแล้ว มักมีอาการปวดท้องประจำเดือนด้วย

     ประจำเดือนมาน้อย + สีแดงคล้ำ เลือดคั่งอุดทางเดินประจำเดือน ทำให้เหมือนประจำเดือนมาน้อย แต่ที่จริงแล้วคั่งอยู่ข้างในออกไม่ได้ต่างหาก รายการนี้ก็มักปวดท้องประจำเดือนด้วยเช่นกัน แต่ถ้าเกิดประจำเดือนมาคล่อง หรือก้อนเลือดหลุดออกมาแล้วก็จะหายปวด

     ประจำเดือนมามาก + สีแดงเข้ม เกิดจากความร้อนครับ ที่มามากก็เพราะความร้อนมันขับดันให้เลือดเดินไว เดินเยอะ

     ประจำเดือนมามาก + สีแดงซีด อันนี้เป็นเพราะร่างกายขาดลมปราณครับ ลมปราณเป็นตัวควบคุม นำทางให้เลือดเดินไปในทางที่มันควรจะไป เมื่อลมปราณพร่องแล้ว เลือดก็ไม่มีตัวควบคุม ไหลตามใจฉัน แล้วเมื่อเลือดไหลออกไปเรื่อยๆ ลมปราณก็จะยิ่งพร่องเพราะขาดเลือดหล่อเลี้ยง สุดท้ายเกิดเป็นวงจรอุบาทว์แย่ลงไปเรื่อยๆ คุณจะมีอาการอ่อนเพลียง่าย ไม่มีแรง วิงเวียนศีรษะ ไม่อยากอาหาร

     ประจำเดือนมามาก + สีแดงคล้ำ ก็คือมีเลือดคั่งอยู่ภายใน

     ประจำเดือนกระปริบกระปรอยมาไม่หยุด แบ่งได้สองกรณีคือ ลมปราณพร่อง สีของเลือดจะซีด อีก
 ประเภทคือเลือดร้อน สีของเลือดจะสด


ก้อนเลือดและลิ่มเลือด
      บางคนประจำเดือนมาทีเป็นก้อนๆครับ มักมีอาการปวดประจำเดือนร่วมด้วย บางคนเหมือนมีเศษเนื้อหลุดออกมาด้วยเลย พอก้อนเลือดหรือเศษเนื้อหลุดออกมาแล้วประจำเดือนมักจะหายปวดครับ
ก้อนเลือดและลิ่มเลือดก็คือเลือดคั่ง เลือดเดินไม่สะดวก เกิดได้หลายสาเหตุ แต่หลักๆมีอยู่สองอย่างคือ อารมณ์เสีย และ พิษเย็นครับ

รอบเดือนไม่ปกติ
      รอบเดือนมาก่อนเวลา มีได้หลายสาเหตุครับ โดยมากแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ เลือดร้อน หรือ ลมปราณพร่อง อาการดูได้จากข้างบน

      รอบเดือนชอบมาหลังเวลา เพราะเลือดคั่ง พิษเย็น เลือดน้อย สามสาเหตุหลักๆ สองอันแรกเพราะมันทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี อันหลังเพราะไม่มีเลือดให้ไหลเวียน


การปวดประจำเดือน
      การปวดประจำเดือนเป็นอะไรที่ผมสงสารผู้หญิงอย่างสุดซึ้งจริงๆ เพราะมันเป็นความปวดที่ทรมาณและน่าหวาดกลัว รู้ทั้งรู้ว่ามันต้องเจ็บทุกเดือนแต่ส่วนใหญ่ก็มักแก้ไขหลีกเลี่ยงอะไรไม่ได้ ไม่เหมือนโดนต่อยโดนตบที่ยังวิ่งหนีได้ การปวดประจำเดือนแยกคร่าวๆออกมาได้ดังนี้

     ปวดช่วงวันแรกๆ พอมาเยอะขึ้นก็หายปวด มักมีอาการท้องแน่นๆ คัดหน้าอกควบคู่ไปด้วย ให้ถามตัวเองว่า คุณเป็นคนอารมณ์เสียง่ายหรือเปล่า อาการมันฟ้องอยู่จากที่บอกไปข้างต้นว่าตับเป็นตัวควบคุมเลือดและลมปราณพอ อารมณ์ไม่ดีลมปราณก็ จะเดินไม่คล่อง ลมปราณไม่เดิน เลือดก็เลยไม่เดินเพราะเหงาขาดเพื่อนอยู่ด้วยกันสองคนอบอุ่นดี แต่คนที่ไม่ดีคือตัวเราเองครับที่ต้องทนปวดประจำเดือนกันต่อไป

     ปวดหลังจากประจำเดือนจะหมดหรือหมดแล้ว มักจะไม่ปวดรุนแรงมาก จะมีอาการอ่อนเพลียควบคู่ อันนี้เกิดจากเลือดน้อยครับ อารมณ์เดียวกับหัวใจขาดเลือดแล้วจะเจ็บหน้าอก

     การปวดประจำเดือนกับความเย็น ถ้าคุณปกติเป็นคนชอบกินน้ำเย็น น้ำแข็งไอติมนี่ของโปรด รักการว่ายน้ำ ใส่กระโปรงเปิดเข่าทำงานในห้องแอร์เย็นเจี๊ยบ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้คุณต้องทนทรมาณกับการปวดประจำเดือนหากคุณ ยังไม่รีบแก้ไข นึกภาพง่ายๆหากเอาน้ำไปแช่ช่องฟรีซ น้ำก็จะแข็งไม่เคลื่อนไหว ประจำเดือนก็เหมือนกันครับ เลือดไหลเวียนไม่ดีก็ปวดเอาสิครับ เพราะอย่างนี้แหละที่นักกีฬาว่ายน้ำจึงมักมีอาการปวดประจำเดือน

โดย ทางแพทย์สายพุทธ