วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557
ความจำเสื่อม
บทความโดย : หมอแดง ดิอโรคยา
เคยเป็นกันบ้างไหมครับ อาการที่บางครั้งเราพยายามจะนึกอะไรซักอย่างให้ได้
แต่มันนึกไม่ออก จะว่าลืมก็ไม่ใช่ เหมือนมันติดอยู่ที่ปากหรือเวลาจะก้าวออกจากบ้านไปทำงาน
ทีไรก็ต้องลืมโน่นลืมนี่เป็นประจำ อาการแบบนี้จะเรียกว่าเป็นอาการความจำเสื่อม
ก็คงจะไม่ใช่ แต่ก็ใกล้เคียง
ผมพบคนป่วยหลายรายที่มีอาการ ความจำเสื่อม แต่ที่เห็นได้ชัดเมื่อเร็วๆนี้ คนไข้เป็นผู้ชาย เคยทำงานรัฐวิสาหกิจ ตำแหน่งใหญ่โตเชียวล่ะครับ เกษียณมาได้ปีกว่าๆแล้ว พอเกษียณมาได้แล้ว ก็เกิดอาการความจำเสื่อมกำเริบอย่างหนัก มีอาการเหมือนเด็ก จำอะไรไม่ค่อยได้ จะกินจะนอนก็ดูยากไปหมด พูดฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง บางครั้งมีอาการซึม บางครั้งยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าซีดเหมือนไม่มีเลือดมาเลี้ยง มือสั่นบ้าง ไปหาหมอที่โรงพยาบาลหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรค “พาร์คินสัน” ก็เลยให้ยาสารพัดมากิน แต่อาการกลับไม่ดีขึ้นเลย เป็นที่กลุ้มใจของผู้เป็นภรรยา ที่ต้องคอยดูแลสามีเหมือนเป็นเด็กเล็ก
จากการสอบถามประวัติความเป็นอยู่ อาหารการกิน การออกกำลังกาย ภรรยาของคนไข้ก็บอกว่า ผู้ป่วยก็กินดีอยู่ดี ออกกำลังกายประจำ ผู้ป่วยเป็นวิศวกรใหญ่ จึงน่าเชื่อได้ว่าต้องกินดีอยู่ดีแน่นอน กรรมพันธุ์ก็ไม่มี แล้วเกิดอาการได้อย่างไร หมอก็ให้คำตอบไม่ได้ ได้แต่รักษาไปตามอาการ ให้วิตามินบ้าง ยาแก้พาร์คินสัน ยาแก้อาการสั่นบ้าง หลายปีแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม
พฤติกรรมอย่างหนึ่งที่คนไข้ทำพลาดไปก็คือ เขาดื่มน้ำน้อยมาก วันละไม่เกิน 2 แก้ว ไม่กระหายน้ำก็ไม่ดื่ม น้ำหนักเกือบ 60 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักขนาดนี้ควรดื่มน้ำ 9-10 แก้วต่อวัน แต่นี่ดื่มแค่ 2 แก้ว บวกกับทำงานใช้สมองมาก มีความเครียดด้วย เลือดเมื่อขาดน้ำก็ทำให้เลือดข้นหนืด ทำให้หลอดเลือดไม่มีความยืดหยุ่นเพราะเลือดไปเลี้ยงไม่พอ แล้วเลือดจะฉีดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้อย่างไรกัน
ทดลองเอาเครื่องสูบน้ำไปสูบน้ำในปลักวัวปลักควาย ที่วัวควายนอนแช่เป็นน้ำโคลนดูซิว่า เครื่องจะสูบน้ำขึ้นไปได้ไหม สุดท้ายเครื่องก็ต้องพัง ซึ่งเครื่องสูบน้ำก็เหมือนหัวใจคนเรา ที่ต้องสูบฉีดเลือดขึ้นไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อเลือดมันข้นเหนียว ไม่ช้าหัวใจก็ต้องพัง เส้นเลือดในหัวใจก็อุดตันหมด
ในกรณีของผู้ป่วยรายนี้ก็มีลักษณะเหมือนกัน เขามีอาการความจำเสื่อมหรือสมองไม่ทำงาน ก็เพราะสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เหมือนเราใช้คนให้ทำงานแล้วไม่จ่ายเงินเดือน ไม่ให้ข้าวกิน แล้วเขาจะเอาแรงที่ไหนมาทำงานให้เรา
เลือดนั้นจะนำพาอาหาร อ๊อกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าส่วนไหน เรามัวแต่กินยา กินวิตามิน โดยไม่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต โดยเฉพาะการดื่มน้ำที่ถูกต้อง คงไม่มีวันที่โรคนี้จะหายได้ ***เพราะยาและวิตามิน ก็เข้าสู่ร่างกายไม่ได้ถ้าไม่มีน้ำพาไป เพราะเลือดประกอบด้วยน้ำถึง 91% ดังนั้นผมจึงให้ความสำคัญ กับการดื่มน้ำเป็นอันดับแรก โดยถือว่าน้ำเป็นยาวิเศษเลยทีเดียว
เมื่อได้แนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมวิถีชีวิตใหม่แล้ว ขั้นตอนต่อไปเราก็ทำการนวดกระตุ้นฝ่าเท้า และนวดตัว เพื่อกระตุ้นให้อวัยวะภายในร่างกายทั้งหมด ทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดี บางท่านอาจเข้าใจผิดว่าการนวดเท้านั้นเป็นการรักษาเท้า ท่านเข้าใจผิดนะครับ การนวดเท้าสามารถรักษาโรคได้เป็นอย่างดี ผู้ป่วยรายนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมได้นวดเท้าและนวดกดจุด จากใบหน้าที่ขาวซีดกลับดูมีเลือดฝาด ดูสดใสขึ้นเยอะ พูดคุยได้ดีขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสกว่าแต่ก่อน มีการตอบสนองที่ดี นั่นแสดงว่าเลือดลมเดินได้ดีขึ้นแล้วนั่นเอง
สรุปแล้วสาเหตุของอาการความจำเสื่อมก็คือ อาการที่เลือดข้นหรือเลือดจาง ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอนั่นเอง ท่านใดที่รู้ตัวว่าเริ่มมีอาการดังกล่าวแล้ว ผมว่าทางที่ดีท่านควรจะดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ถูกต้อง ตามที่ผมได้บอกไว้แล้ว อาการความจำเสื่อมจะไม่มาเยือนท่านโดยง่ายแน่นอน
------------------------------------------
วิธีการลดความเสี่ยง โรคความจำเสื่อม
- ในแต่ละวัน ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (ประมาณ 1.5 - 2 ลิตร) โดยแบ่งดื่มทั้งวัน และเลี่ยงการดื่มน้ำเยอะช่วงที่รับประทานอาหาร
- นวดกระตุ้น ฝ่าเท้า และ ตัว สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดี
- เพิ่มสารอาหารให้กับเลือด และ ลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ด้วยสาหร่ายเกลียวทอง เพราะสาหร่ายเกลียวทอง ช่วยลดคอเลสเตอรอลรวม และเพิ่ม HDL ชึ่งจะช่วยลด LDL ในร่างกายได้ด้วย ทำให้ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดอุดตัน อีกทั้งสารอาหารที่มีมาก ย่อยง่าย ดูดซึมได้เร็ว และมีโปรตีนสูง ร่างกายจึงสามารถนำไปซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซีสต์ เนื้องอก ขยะส่วนเกินของร่างกาย
(สัญญาณเตือนของผู้ที่มี ตับ อ่อนแอ)
บทความโดย : หมอนัท ดิอโรคยา
คุณปรียา อายุ 45 ปี เข้ามาปรึกษาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่สบายใจเอามากๆ เพราะ
1. มีเนื้องอกในมดลูก พบตั้งแต่ปี 2553 แรกเจอก้อนเล็กๆ ตอนนี้ขยายออกเป็น 8 เซนติเมตรแล้ว ยังไม่มีอาการปวดใดๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเล็กลงไป
2. มีก้อนเนื้อบริเวณ เต้านมด้านซ้าย พบหลายก้อนประมาณ 2 เดือนที่แล้วหมอบอกรอให้ใหญ่กว่านี้แล้วค่อยผ่า ถ้าใหญ่มากก็ต้องตัดไปทั้งมดลูกรังไข่ ตอนนี้มีอาการร้อนใจเพราะไม่รู้จะหยุดยั้งการเติบโตของก้อนเนื้อได้อย่างไร
ก้อนเนื้อ เนื้องอก นี่เป็นอาการเตือนอย่างหนึ่งของร่างกายว่า เรามีขยะในร่างกายมากเกินไป เราทานอาหารที่โภชนาการเกินที่จะนำไปใช้ แต่รู้หรือไม่ว่าที่เก็บขยะหรือเนื้องอกที่เกิดขึ้นในร่างกายคือเบาะแสให้ ทราบได้ถึงสาเหตุของอาการป่วย เตือนเราถึงพฤติกรรมที่ผิดพลาดในอดีต อ่านจากใบประวัติคนไข้ที่เขียนมาของคุณปรียาก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จึงสอบถามถึงอดีตที่ผ่านมามีการทานอาหารอย่างไร ต้องมีบางอย่างที่ผิดเพี้ยนสิน่า เพราะรูปร่างเธอก็สมส่วนดีไม่น่าจะเป็นคนทานอาหารไม่ระวัง สอบถามหลายเรื่องจนคุณปรียานึกได้ว่า เคยไปเรียนต่อที่ต่างประเทศมา 4 ปี ช่วงนั้นทานแต่นมกับอาหารที่ชงข้นๆ แต่ละอย่างก็มีนม เนย อยู่ด้วยทั้งนั้น
คุณวิยะดา อายุ 31 ปี น้ำหนัก 54 กิโลกรัม มาจากต่างจังหวัดเล่าอาการให้ฟังดังนี้
1. เวียนศีรษะหลายปีแล้ว จากการทำงานใช้คอมพิวเตอร์ กลางคืนนอนไม่ค่อยหลับ
2. ปวดท้องน้อย ตรวจพบช็อคโกแลตซีสต์ที่รังไข่ เวลาปวดก็จะทานยาแก้ปวดหลังๆก็ไม่ทานยาแล้วปวดก็ทนเอา
3. ปวดหลังบริเวณบั้นเอวหลังจากปวดท้องน้อย 1 ปี
4. ตรวจพบเนื้องอกที่แกนสมองข้างขวา
5. มีเม็ดผื่นคันเล็กๆตามผิวหน้า ร่องจมูก ไรผม หลังหู มีอาการนาน 3 ปี ผิวหนังลอกเป็นแผ่นๆ ทายาแล้วไม่หายจึงปล่อยให้เป็นไปเรื่อยๆ
เธอเล่าให้ฟังว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับวัสดุต้นไม้ ดอกไม้ ฝึกลูกน้องจนเก่งจึงมีเวลาว่างไปเสาะแสวงหาของกินตามที่ต่างๆ จังหวัดไหน ที่ไหน ขอให้บอกถ้าเธอรู้เธอจะตามไปแน่นอน
- ชอบทานแต่เนื้อสัตว์ ไม่ทานผัก โดยเฉพาะอาหารทะเล ปลา ปลาหมึก ไข่ปลาหมึก หอยนางรม มันปู มันกุ้ง สามารถขับรถไปพัทยา อ่างศิลา ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อทานอาหารทะเลและซื้อกลับบ้าน
- ดื่มนมแทนน้ำประมาณ 1 ลิตรต่อวัน นมช็อคโกแลตชอบมาก บางวันกินช็อคโกแลตแท่งแทนข้าว ทานข้าวน้อยมากมักจะทานขนมปังฮอทดอก ขนมเค้กที่มีเนื้อครีมมากๆ ทานทุเรียนเป็นลูกๆแทนอาหาร
- ดื่มแต่น้ำเย็น น้ำอัดลมวันละ 1 ขวด นมเย็น ชาเย็นวันละ 2 แก้วใหญ่ หากหิวก็จะทานน้ำเต้าหู้แทนข้าว ก่อนอาหารดื่มน้ำเย็น 3 แก้ว หลังอาหารดื่มน้ำเย็นอีก 3 แก้ว เนื่องจากทานอาหารทะเลมีน้ำจิ้มเผ็ด
หลังจากบันทึกประวัติแล้ว จึงให้ไปนวดเท้าและตัว เธอบอกว่ารู้สึกเจ็บตามเส้นทั้งเท้าและตัว กดจุดไหนก็เจ็บ แต่หลังจากนวดเสร็จแล้วหายเวียนศีรษะ จึงได้ถามว่าทำไมถึงได้กินอาหารแบบสุดโต่งแบบนี้ เธอตอบว่า อ่านหนังสือมาในหนังสือบอกว่ากินแป้งหรือข้าวแล้วอ้วน เธออยากลดความอ้วนโดยไม่กินยาลดความอ้วน จึงเปลี่ยนเป็นทานอาหารทะเล เนื้อสัตว์ และกินผลไม้แทนผัก แต่เมื่อได้อ่านหนังสือใครไม่ป่วยยกมือขึ้นหลายเล่ม จึงเปลี่ยนกลับไปทานข้าวกล้อง ทานกับข้าวที่มีผักมากขึ้น ทานน้ำเปล่าที่ไม่เย็น ปรากฏว่ามี ผื่น สิว มากขึ้นแผลที่มีก็มีน้ำเหลืองไหลออกมา
จึงบอกกับเธอว่านี่ล่ะคือความมหัศจรรย์ของร่างกายเมื่อไหร่ที่เราดูแลเขาดี เขาก็จะเริ่มขับของเสียและซ่อมแซมตัวเอง อย่ามัวทานแต่ยากดภูมิคุ้มกันกดอาการอยู่เลย ของเสียที่เกิดขึ้นต้องปล่อยให้ร่างกายขับออกมา ทั้งทางอุจจาระ ปัสสาวะ ผิวหนัง ช่วงนี้คุณต้อง “อดทน”ลูกเดียว ปล่อยให้ระบบกำจัดของเสียในร่างกายทำงานอย่างเต็มที่
อาหารที่มีโภชนาการเกินไปโดยเฉพาะนมที่อุดมไปด้วยไขมันและโปรตีนมากๆเมื่อ ทานมากเกินไป เราจะขับไขมันและโปรตีนส่วนเกินออกจากร่างกายไม่ทัน ของเสียส่วนเกินก็จะถูกนำไปเก็บไว้ที่ตับจนเกิดไขมันพอกตับ ตับอ่อนแอ และจะส่งสัญญาณเตือนมายังร่างกายของเราทางเส้นลมปราณตับ ทำให้มีก้อนเนื้องอก ก้อนซีสต์ ก้อนพังผืด เกิดขึ้นที่แนวเส้นนี้โดยง่าย ถ้าเป็นผู้หญิงบริเวณที่มีความเสี่ยงคือ เต้านม รังไข่ มดลูก ทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว ส่วนสัญญาณเตือนของผู้ชายว่ามีของเสียที่ตับมากคือ หน้ามัน ผมร่วง ต่อมลูกหมากโต
* ใครที่มีก้อนซีสต์ เนื้องอกมากๆพึงระลึกได้เลยว่า ขณะนี้ตับของท่านกำลังอ่อนแรงเหลือเกิน ไม่สามารถขับของเสียและไขมันส่วนเกินออกมาได้จึงสะสมอยู่ในร่างกาย ในเบื้องต้นยังไม่อันตราย แต่หากปล่อยไว้ก็คงไม่พ้น มะเร็งเต้านม มดลูก รังไข่ หรือ มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นแน่ หากโชคร้ายก็ต้องเผชิญกับมะเร็งตับ
ขั้นตอนในการรักษาโรคตับอ่อนแอ ผู้หญิงที่มีก้อนซีสต์หรือเนื้องอกมากบริเวณเต้านม มดลูกรังไข่ หรือผู้ชายที่เป็นโรคต่อมลูกหมากโต
ดังนั้นช่วงที่มีอาการจึงควรแก้ไขพฤติกรรมที่ทำร้ายตับ เพื่อให้ตับได้พักผ่อนและซ่อมแซมตัวเองเสียบ้าง วิธีคือ
1. นอนก่อน 5 ทุ่มเพราะเป็นเวลาที่ลมปราณของถุงน้ำดีทำงานคู่กันกับตับ จนถึงตีสาม
2. งดดื่มเหล้าและ แอลกอฮอล์ทุกชนิด
3. งดกาแฟเพราะมีคาเฟอีนซึ่งไปกระตุ้นให้ตับทำงานมากเกินไป 4. ลดอาหารกลุ่มไขมัน ไขมันทรานส์ ของมันของทอด
5. ทานอาหารเช้าให้ได้ทุกวันไม่เกิน 9 โมงเช้าเพราะเป็นเวลาที่มีน้ำย่อยและเอนไซม์มากพร้อมที่จะเปลี่ยนอาหารให้ เป็นพลังงานและสารอาหารได้อย่างรวดเร็ว
6. ก่อนนอน 2-3 ชม.ไม่ทานอาหารมื้อหนัก
7. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
8. นวดตัวอาทิตย์ละ 1 ครั้งโดยเฉพาะเส้นข้างขา
ตับของเราเป็นอวัยวะที่ใหญ่และอดทนมาก แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วจะแก้ไขได้ยาก รวมถึงร่างกายจะทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว ดังนั้นทำความเข้าใจและลดพฤติกรรมทำร้ายตับไว้แต่เนิ่นๆเป็นหนทางดูแลตับที่ ดีที่สุดครับ
.....................
สมุนไพร และวิธีฟื้นฟูตับ 8 ขั้นตอน
สรรพคุณโดยย่อ : เร่งระบายของเสียออกจากร่างกายด้วยการดีท๊อกซ์ ,ลดของเสียโดยสนับสนุนให้กระเพาะ และลำไส้ ย่อยและดูดซึมอาหารได้ดี ด้วย ขมิ้นชัน และ Probiotic ,บำรุงตับด้วยโสม เติมสารอาหารให้ตับเพื้อผลิตเลือดด้วยสาหร่ายเกลียวทอง ,ละลายไขมันที่พอกตับ ด้วยน้ำมันมะพร้าว ,เร่งตับขับสารพิษ และไขมันออกจากตับ ด้วยสมุนไพรเบญจพันธุ์
1. ทานขมิ้นชัน (ก่อนอาหาร 2 แคปซูล) ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน อาหารไม่ย่อย เพิ่มประสิทธิภาพในการย่อย และ กำจัดลม ช่วยให้ตับหลั่งน้ำดี อีกทั้งมีสารอาหารและต้านอนุมูลอิสระอยู่มากช่วยให้ตับแข็งแรงขึ้น
2. ทานน้ำเอนไซม์ (หลังอาหารทุกมื้อ) หรือ ผลิตภัณฑ์โปรไบโอติก(จุลินทรีย์ที่ดี)เพื่อเร่งกระบวนการย่อยสลายของเสียตก ค้างในลำไส้ เพื่อลดภาระการทำงานของตับ
3. น้ำมันมะพร้าว ( 2-4 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารเช้า ,เย็น) เพิ่มไขมันชนิดดี โดยทานน้ำมันมะพร้าว เพื่อเพิ่มไขมันชนิดดี (HDL) ที่จะช่วยนำไขมันคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ออกจากร่างกาย อีกทั้งยังช่วยทำความสะอาดหลอดเลือดไม่ให้อุดตัน ( ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ Ze-oil ประกอบด้วย น้ำมันมะพร้าว น้ำมันกระเทียม น้ำมันงาขี้ม่อน น้ำมันรำข้าว ทานตื่นนอน และก่อนนอน 2 แคปซูล )
4. ยาน้ำสมุนไพรเบญจพันธุ์ ลูกใต้ใบ (หลังอาหาร 2 ช้อนโต๊ะ) ช่วยบำรุงตับ และ เปิดท่อน้ำดีเพื่อให้ของเสียและไขมันที่พอกอุดตันที่ตับ ถูกขับออกมาง่ายขึ้น รวมถึงการช่วยดึงดูดน้ำเข้าสู่กระแสเลือดให้มากขึ้น เพื่อเร่งการขับของเสียออกทางปัสสาวะได้มากขึ้นอีกทาง โดย
5. โสม (เช้าวันละ 1 เม็ด) มีสรรพคุณบำรุงอวัยวะภายในทั้งห้า (หัวใจ ตับ ปอด ม้าม ไต) เพิ่มการดูดซึมออกซิเจนของผนังเซล เซลจึงสามารถสร้างพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของสารอาหารเข้าสู่ร่างกายและสมอง กระตุ้นให้ตับอ่อน สร้างอินซูลินได้ ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในภาวะสมดุล (สำหรับคนไทยเมืองร้อน ขอแนะนำเฉพาะ โสม GR150 เท่านั้น)
6. สาหร่ายเกลียวทอง (ตื่นนอนตอนเช้า 5 เม็ด + น้ำ 2 แก้ว) เป็นอาหารที่ เหมาะสำหรับฟื้นฟู ตับ เพราะ เนื้อเยื่อของตับประกอบด้วยสารประเภทโปรตีนถึง 70% ซึ่งใกล้เคียงกับ โปรตีนที่มีอยู่ในสาหร่ายเกลียวทองที่มีมากถึง 70% เช่นกัน (มากกว่าไข่ไก่และเนื้อสัตว์ 2-3 เท่า) ดังนั้นในการฟื้นฟูเซลล์ของตับที่เสียหาย ต้องใช้โปรตีนในการซ่อมแซม อีกทั้งสาหร่ายเกลียวทอง สามารถย่อยง่าย และ ดูดซึมได้ถึง 95% ดังนั้น ตับก็จะได้โปรตีนและสารอื่นๆจำนวนมากเพื่อไปซ่อมแซมเซลล์ตับ และ ไม่ต้องทำงานหนักในการกำจัดของเสีย ตับก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เร็ว
7. ยาธรณีสันฑะฆาต (ก่อนนอน 2 แคปซูล) มีสรรพคุณดีทอกซ์ของเสียที่เป็นก้อนติดแน่นตั้งแต่ลำไส้ส่วนบนถึงลำไส้ส่วน ล่างออกจากร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เลือดลมเดินสะดวก ต่างจากการดีทอกซ์ด้วยกาแฟ ซึ่งจะขับของเสียออกแค่จากลำไส้ส่วนล่างเท่านั้น
8. ทำ Detox แบบสวนล้างลำไส้ (สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง) จะช่วยให้ของเสียในลำไส้ใหญ่น้อยลง ตับต้องทำงานน้อยลงด้วย
โรคหัวใจ และหลอดเลือดแข็ง ตีบตัน
ในปัจจุบันนี้จะเห็นว่าทุกวันนี้มีคนที่เสียชีวิตจากโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดอุดตัน และน่าจะเป็นโรคที่เป็นสาเหตุในการเสียชีวิต วันละหลายคน เพราะเราจะได้รับทราบจากญาติ มิตร หรือเพื่อนๆ ได้ฟัง ได้บอกกันมา “เห็นหน้ากันอยู่ดีๆ อ้าวไปเสียแล้ว”
แล้วโรคนี้บางทียังไม่ได้สั่งเสีย ไปเสียแล้ว แต่บางคนก็เป็นอยู่นาน ลำบากลูกหลาน ญาติต้องคอยดูแลหาข้าวน้ำมาคอยดูแลปฎิบัติ เพราะคนป่วยช่วยเหลือตัเองได้ไม่ ต้องหาคนมาช่วยดูแลอีก ต้องเสียเวลา เสียเงินเสียทองรักษากันเหนื่อย ทางการแพทย์บอกว่า ทุกๆ ชั่วโมง มีคนตายจากโรคหลอดเลือด สมองอุดตัน อย่างน้อย 5-6 คน และตายจากหลอดเลือดหัวใจอุดตัน 2 คน และจากโรคเบาหวาน อย่างน้อย 2 คน และถ้าเป็นคนกรุงเทพ ด้วยแล้ว จะพบวว่า ตายจากโรคหัวใจ อย่างน้อย 8 ราย
ที่สำคัญของโรคนี้เกิดจากการแข็งตัว และตีบตันของหลอดเลือดแดง จึงทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง หรือทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ทำให้สมองขาดเลือดเลี้ยง ทำให้เซล์ กลายเป็นอัมพฤษ์ อัมพาต เกิดปัญหาขึ้นที่ “ไต” ทำให้ไตเสื่อม ความดันเลือดสูง ทำให้อวัยต่างๆ ขาดเลือด เช่น แขนขา ลีบ ขาดเลือดไปเลี้ยง ก็เลยเน่า บางคนต้องตัดขา เพื่อรักษาชีวิต เลือดเลยคั่งเป็นความร้อน เกิดเป็นพิษ เลือดก็เสีย
ผมเอง (หมอแดง) นี้นี่แหละ ที่เกิดอาการหลอดเลือดตีบตัน เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี ขาจะบวมทุกวัน ช่วงเช้า จะมีอาการบวม จนหมอจีนบอกผมว่า “เป็นโรคเท้าช้าง” เวลานั่งเก้าอี้สูงๆ หรือนั่งนานหน่อย ก็ต้องหาเก้าอี้มารองขาไว้ตลอด ไม่อย่างนั้นจะบวม แน่นแลย ต้องให้ลูกน้องช่วยนวดให้ทุกวัน เท้า ขา ฝ่าเท้าจะร้อน ตอนก่อนนอน หรือตกกลางคืน จะร้อนขาและฝ่าเท้ามาก จนต้องใช้น้ำเย็นรดขาแทบทุกวัน ไม่อย่างนั้นจะนอนไม่ได้เลย
ข้อเท้า จะใหญ่ขึ้น บวม ที่มากหน่อยก็คือขาขวา บริเวณหลังเท้า และข้อเท้าจะเห็นเส้นเลือดจะดำ
และมีอากาปวดและข้อมือและแขนขวามาก ต้องเอาแผ่นความร้อน มาคาดไว้ก่อนนอน ไม่อย่างนั้นมันจะปวดจนนอนไม่หลับ
*** ดังนั้นก็ให้เข้าใจไว้เลยว่า อาการที่เรามีอาการปวด ตามร่างกาย หรือตามอวัยวะต่างๆ นั้น เป็นเพราะการไหลเวียนของเลือดลมติดขัด ไหลเวียนได้ไม่ดี และถ้าเรามีอาการเมื่อย ก็เป็นเพราะการไหลเวียนยังถือว่าดีอยู่บ้าง แต่ดูจะหริบหรี่เต็มที ดังนั้นเราควรแก้ไขกันที่ต้นเหตุ
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดหลอดเลือดแดงแข็ง ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันสูง ไขมันสูง โคเลสเตอรอลสูง การสูบบุหรี่ อายุมากขึ้น อาการหลังหมดประจำเดือน ประวัติในครอบครัว พฤติกรรมในการดำรงชีวิต ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบตันแคบลง ทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก
เวลาออกแรง หรือเล่นกีฬาหนัก ๆ นักกีฬาดังๆที่ต้องเสียไปหลายคน เวลาโมโหรีบทำอะไร เนื่องจากเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อ หัวใจไม่พอ กับความต้องการของหัวใจ จนเกิดอาการหัวใจขาดเลือด ซี่งมักจะเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง ไม่อันตรายถึงชีวิตนัก แต่ถ้ามันมีอาการก็ไม่แน่เหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันจะเล่นเอาหนักเมื่อไหร่ อย่ารอให้หนักแล้วค่อยมาแก้ไขนะ
*** อย่าไปคิดว่าอยู่หลอดเลือดมัน จะตีบ โดยฉับพลันทันทีทันใด มันต้องใช้เวลาอันยาวนาน เหมือนกองผักตบชวาที่สร้างปัญหากับแม่น้ำลำคลองในขณะนี้ ถ้าไม่มีไม่การดูแล หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลง แม่น้ำทั้งสายก็จะเต็มไปด้วยสวะ (เหมือนตามที่ผมว่าได้ มองดูแม่น้ำแม่กลองอยู่ทุกวัน เกือบ 3 เดือนแล้ว มีแต่ขยะเต็มคลอง ทุกคน เทลงคลอง ไม่มีเก็บขยะหรือจัดการกับกอผักตบชวา บอกว่าราชการไม่มีค่าน้ำมันมามาจ้างรถตักขยะ) เมื่อ 2 – 3 วันนี้ ผมได้ดูรายการ TV ช่องไหนก็จำไม่ได้ น่าจะเป็นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ได้มีชาวบ้านพากันเก็บผักตบชวา นำมาตากแห้ง กิโล 12 บาท แล้วผลิตเป็นสินค้าขายกลุ่มสหกรณ์ รายได้ดีเลยละนี่เป็นสิ่งที่ดี ที่จะเห็นหนทางที่จะช่วยกันกำจัดผักตบชวาได้ ถ้าท่านเห็นเขาทำขายที่ไหน ก็ช่วยกันอุดหนุนซื้อกันหน่อย เมืองไทยจะได้น่าอยู่น่าเที่ยว)
และการที่แสดงให้เห็นเหล่านี้ เป็นสัญญานเตือนภัย ที่ธรรมชาติมีไว้ให้เรา แต่บ่อยครั้งการเตือนภัยเหล่านี้ เกิดช้าไป หรือปล่อยปะละเลยจนสายเกินไปแล้ว ดังนั้นลองมาดูวิธีการแก้ไข หาวิธีป้องกันก่อนจะสายเกินแก้กันเถิดครับ อย่าปล่อยให้ระเบิดเวลาชีวิตลูกนี้ จ้องคร่าชีวิตคนที่เรารักกันอีกต่อไปเลย การทานยาลดไขมันอาจเป็นทางออกของการแพทย์แบบแผน แต่ในระยะยาวเห็นทีจะเป็นการสร้างภาระให้ตับต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น จากไขมันที่ถูกนำไปพอกไว้ที่ตับแทน แม้ในหลอดเลือดจะน้อยลงก็ตาม ดังนั้นลองหันมาใช้สมุนไพรวิธีทางธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อตับและไต โดยวิธีหลักๆที่แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการลดคอเลสเตอรอล ไขมันในเลือด 4 ขั้นตอนหลักๆดังต่อไปนี้
4 ขั้นตอนในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และเส้นเลือดตีบ
1. เลือด มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 91% ดังนั้นถ้าในแต่ละวันไม่ดื่ม หรือดื่มไม่เพียงพอ น้ำเลือดก็จะข้นเป็นโคลน หัวใจก็ทำงานหนักเป็นสาเหตุอันดับแรกของโรคหัวใจวายเลยนะครับ
การดื่มน้ำที่ถูกวิธี
- ตื่นนอนดื่ม 2-3 แก้ว ช่วยให้เลือดไม่ข้น ห่างไกลโรคหัวใจ และไล่ของเสียออกจากร่างกาย
- ระหว่างวัน แบ่งดื่มให้ได้ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว
- ก่อนและหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
2. น้ำมันมะพร้าว เพิ่มไขมันชนิดดี โดยทานน้ำมันมะพร้าว 2-4 ช้อนโต๊ะ/วัน เพื่อเพิ่มไขมันชนิดดี (HDL) ที่จะช่วยนำไขมันคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ออกจากร่างกาย อีกทั้งยังช่วยทำความสะอาดหลอดเลือดไม่ให้อุดตัน ( ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ Ze-oil ประกอบด้วย น้ำมันมะพร้าว น้ำมันกระเทียม น้ำมันงาขี้ม่อน น้ำมันรำข้าว ทานตื่นนอน และก่อนนอน 2 แคปซูล )
3 เบญจพันธุ์ ลูกใต้ใบ (บ้านอโรคยา) ช่วยบำรุงตับ และ เปิดท่อน้ำดีเพื่อให้ของเสียและไขมันที่พอกอุดตันที่ตับ ถูกขับออกมาง่ายขึ้น รวมถึงการช่วยดึงดูดน้ำเข้าสู่กระแสเลือดให้มากขึ้น เพื่อเร่งการขับของเสียออกทางปัสสาวะได้มากขึ้นอีกทาง โดยทานหลังอาหาร 2 ช้อนโต๊ะ
4. สาหร่ายเกลียวทองเป็นอาหารที่ เหมาะสำหรับฟื้นฟู ตับ เพราะ เนื้อเยื่อของตับประกอบด้วยสารประเภทโปรตีนถึง 70% ซึ่งใกล้เคียงกับ โปรตีนที่มีอยู่ในสาหร่ายเกลียวทองที่มีมากถึง 70% เช่นกัน (มากกว่าไข่ไก่และเนื้อสัตว์ 2-3 เท่า) ดังนั้นในการฟื้นฟูเซลล์ของตับที่เสียหาย ต้องใช้โปรตีนในการซ่อมแซม อีกทั้งสาหร่ายเกลียวทอง สามารถย่อยง่าย และ ดูดซึมได้ถึง 95% ดังนั้น ตับก็จะได้โปรตีนและสารอื่นๆจำนวนมากเพื่อไปซ่อมแซมเซลล์ตับ และ ไม่ต้องทำงานหนักในการกำจัดของเสีย ตับก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เร็ว
…...................................................
เพิ่มเติม การปฏิบัติตัวเพื่อควบคุมคอเลสเตอรอล
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ไขมันสัตว์ นม เนย ไข่ เครื่องในสัตว์ เบคอนไส้กรอก อาหารทอด โดยในแต่ละวัน ควรได้รับคอเลสเตอรอลจากอาหารไม่เกิน 300 มก.ต่อวัน โดยเลือกบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีคอเลสเตอรอลน้อยกว่า 100 มก. ได้แก่ เนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
- หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นไขมันอันตราย ถ้าบริโภคมากจะทำให้ไขมัน LDL เพิ่มขึ้นและลดไขมัน HDL ที่เป็นไขมันดี ไขมันทรานส์ พบได้ใน เบเกอรี่ ขนมกรุบกรอบสำเร็จรูป อาหารสำเร็จรูป เนยเทียม เป็นต้น
- ขับถ่ายให้ได้ทุกวัน จะใช้วิธีดีท๊อกของเสียออกจากร่างกาย โดยการดีท๊อกสวนทวาร ,ใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมช่วยดีท๊อก หรือใช้สมุนไพรไทยๆ พวกมะขามแขก ,ส้มแขก หรือยาแผนโบราณ จตุผลาธิกะ ,ธรณีสันฑะฆาต ก็ได้
- ทานผักผลไม้ที่มีเส้นใยไฟเบอให้ได้วันละประมาณ 25 กรัม แนะนำให้ทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว เพราะข้าวกล้องมีไฟเบอเคลือบอยู่ ทำให้ร่างกายได้รับเส้นใยไฟเบอจำนวนมากด้วยวิธีง่ายๆ (หรือ ใช้ไซเลี่ยมฮัส ไฟเบอร์ชงละลายน้ำทานก่อนอาหาร วันละ 1 ช้อนโต๊ะ)
- ปรับพฤติกรรมควบคุมน้ำหนัก อย่าให้อ้วนเกินพิกัด โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ควรนอนเกิน 5 ทุ่มเพื่อให้ ตับและถุงน้ำดีได้พักผ่อน
- ดีท๊อกซ์ตับ ช่วยลดคอเลสเตอรอล ,นิ่วในตับ และถุงน้ำดีได้เร็วที่สุด หากมีเวลา แนะนำให้ลองเข้าคอร์สสักครั้ง แล้วนำขั้นตอนมาปฏิบัติเองที่บ้านก็ได้ครับ
ที่มา: Herbale
ระวัง...เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
องค์การอัมพาตโลกได้กําหนดให้ทุกวันที่ 29 ตุลาคมเป็นวันรณรงค์อัมพาตโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นสาเหตุการตายของคนทั่วโลก ประมาณ 6 ล้านคนต่อปี ที่มากกว่าคนตายจากเอดส์ วัณโรค และมาลาเรียรวมกัน โดยองค์การอัมพาตโลกคาดว่า ปี พ.ศ. 2558 นี้ จะมีคนทั่วโลกตายจากโรคหลอดเลือดสมองถึง 6.5 ล้านคน เฉพาะประเทศไทยมีคนตายจากโรคหลอดเลือดสมอง เฉลี่ยถึงประมาณ 36 คน ต่อวัน
โรคหลอดเลือดสมอง หรืออัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคที่เกิดจากสมองได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ทำให้สูญเสียการควบคุมการทำงานของร่างกาย โรคนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันที่พบประมาณร้อยละ 70 และอีกชนิดคือหลอดเลือดสมองแตก ผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง คือ ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ผู้เป็นโรคเบาหวาน ผู้มีระดับไขมันในเลือดสูง ผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ออกกําลังกายหรือมีกิจกรรมทางกายน้อย เป็นคนท้วมหรืออ้วน เป็นผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจํา หรือผู้มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ฉะนั้น เพื่อป้องกันอัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้ที่มีความเสี่ยงตามที่กล่าวมา ควรใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองให้มากขึ้น เพราะมีหลักฐานวิชาการพบว่า สามารถป้องกันได้ถึงร้อยละ 80 ซึ่งควรปฏิบัติทันทีตั้งแต่ตอนนี้ ได้แก่
1. ควบคุมน้ำหนักตัว โดยให้ค่าดัชนีมวลกายหรือ BMI อยู่ระหว่าง 18.5 - 22.9 กก./ตร.ม. และควบคุมรอบเอว ซึ่งผู้ชายควรให้น้อยกว่า 90 ซม. หรือ 36 นิ้ว ผู้หญิงให้น้อยกว่า 80 ซม. หรือ 32 นิ้ว
2. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม เพิ่มการกินผัก ผลไม้รสไม่หวาน และธัญพืชให้มากขึ้น
3. รับรู้ความเสี่ยงของตนว่า เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรืออื่นๆ หรือไม่ หากผิดปกติควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
4. ออกกำลังกายระดับปานกลาง อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์หนึ่ง 3-5 ครั้ง
5. ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่รวมถึงไม่สูดดมควันบุหรี่ด้วย
6. เรียนรู้อาการเตือนที่สำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากพบว่า ผู้ที่มีอาการสมองขาดเลือดชั่วคราว 1 ใน 5 คนจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองภายในระยะเวลา 3 เดือน ส่วนใหญ่เป็นในระยะ 2 - 3 วันแรก หลังมีอาการสมองขาดเลือดชั่วคราว
อาการสมองขาดเลือดชั่วคราว อาจมีเพียงอาการเดียวหรือมากกว่าก็ได้ อาการที่เกิดขึ้นนี้เพื่อให้จำง่าย คือ FAST (เร็ว) โดยแต่ละตัวย่อมาจาก F = Face (หน้า) : เวลายิ้มพบว่ามุมปากข้างใดข้างหนึ่งตก A = Arms (แขน) : ยกแขนไม่ขึ้นข้างใดข้างหนึ่ง S = Speech (พูด) : มีปัญหาด้านการพูดแม้ประโยคง่ายๆ พูดแล้วคนฟัง ฟังไม่รู้เรื่อง T = Time (เวลา) : ถ้ามีอาการเหล่านี้ให้รีบไปโรงพยาบาลทันที หรือภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งจะสามารถช่วยรักษาชีวิตและฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาเป็นปกติหรือใกล้เคียง ปกติมากที่สุดได้
.......................
4 ขั้นตอนในการลดความเสี่ยงโรคระบบหลอดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจ
สรรพคุณโดยรวม ของทั้ง 4 ขั้นตอน คือลดความหนืดให้กับเลือดด้วยการเติมน้ำเข้าสู่ร่างกาย ,ใช้ไขมันชนิดดี น้ำมันมะพร้าว (HDL) เข้าไปขจัดไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด และ ไขมัน สารพิษที่เกาะอยู่ในตับ และถูกขับออกจากตับด้วยสมุนไพรเบญจพันธุ์ อีกทั้งฟื้นฟูตับให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยสาหร่ายเกลียวทอง จนตับสามารถผลิต HDL ได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งผลิตน้ำดีเพื่อใช้ย่อยไขมันได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการฟื้นฟูอย่างยั่งยืนในระยะยาว
1. เลือด มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 91% ดังนั้นถ้าในแต่ละวันไม่ดื่ม หรือดื่มไม่เพียงพอ น้ำเลือดก็จะข้นเป็นโคลน หัวใจก็ทำงานหนักเป็นสาเหตุอันดับแรกของโรคหัวใจวายเลยนะครับ
การดื่มน้ำที่ถูกวิธี
- ตื่นนอนดื่ม 2-3 แก้ว ช่วยให้เลือดไม่ข้น ห่างไกลโรคหัวใจ และไล่ของเสียออกจากร่างกาย
- ระหว่างวัน แบ่งดื่มให้ได้ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว
- ก่อนและหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
2. น้ำมันมะพร้าว เพิ่มไขมันชนิดดี โดยทานน้ำมันมะพร้าว 2-4 ช้อนโต๊ะ/วัน เพื่อเพิ่มไขมันชนิดดี (HDL) ที่จะช่วยนำไขมันคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ออกจากร่างกาย อีกทั้งยังช่วยทำความสะอาดหลอดเลือดไม่ให้อุดตัน ( ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ Ze-oil ประกอบด้วย น้ำมันมะพร้าว น้ำมันกระเทียม น้ำมันงาขี้ม่อน น้ำมันรำข้าว ทานตื่นนอน และก่อนนอน 2 แคปซูล ) * แนะนำให้เสริมด้วยน้ำมันปลา สัปดาห์ละ 3-4 วัน วันละ 1,000 มิลลิกรัม (1 แคปซูล) หลังอาหาร โดยลดการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดไม่เกาะตัวเป็นลิ่ม เลือดจึงไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดความหนืดของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุ่น
3. ยาน้ำสมุนไพรเบญจพันธุ์ ลูกใต้ใบ (บ้านอโรคยา) ช่วยบำรุงตับ และ เปิดท่อน้ำดีเพื่อให้ของเสียและไขมันที่พอกอุดตันที่ตับ ถูกขับออกมาง่ายขึ้น รวมถึงการช่วยดึงดูดน้ำเข้าสู่กระแสเลือดให้มากขึ้น เพื่อเร่งการขับของเสียออกทางปัสสาวะได้มากขึ้นอีกทาง โดยทานหลังอาหาร 2 ช้อนโต๊ะ
4. สาหร่ายเกลียวทองเป็นอาหารที่ เหมาะสำหรับฟื้นฟู ตับ เพราะ เนื้อเยื่อของตับประกอบด้วยสารประเภทโปรตีนถึง 70% ซึ่งใกล้เคียงกับ โปรตีนที่มีอยู่ในสาหร่ายเกลียวทองที่มีมากถึง 70% เช่นกัน (มากกว่าไข่ไก่และเนื้อสัตว์ 2-3 เท่า) ดังนั้นในการฟื้นฟูเซลล์ของตับที่เสียหาย ต้องใช้โปรตีนในการซ่อมแซม อีกทั้งสาหร่ายเกลียวทอง สามารถย่อยง่าย และ ดูดซึมได้ถึง 95% ดังนั้น ตับก็จะได้โปรตีนและสารอื่นๆจำนวนมากเพื่อไปซ่อมแซมเซลล์ตับ และ ไม่ต้องทำงานหนักในการกำจัดของเสีย ตับก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เร็ว
ที่มา: Herbale
ดื่มน้ำอย่างไร ให้ห่างไกลโรค ?
พฤติกรรมกว่า 90% ของผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆนานา เกิดจากการดื่มน้ำที่ผิดวิธี เพราะน้ำมีผลต่อความหนืดข้นของเลือด สำคัญต่อระบบไหลเวียนของร่างกาย ทั้งเอาสารอาหารอ๊อกซิเจนไปเลี้ยง ,นำของเสียออกจากร่างกาย และที่สำคัญที่สุด คือ ถ้าดื่มผิดวิธีในช่วงที่มีอาหารในกระเพาะ จะทำให้อาหารไม่ย่อย เมื่อย่อยไม่ได้ก็ถ่ายไม่ออก หมักหมมเน่าเสีย สร้างสารพิษท๊อกซินก่อให้เกิดเป็นโรคร้ายต่างๆไม่รู้จบ ดังนั้นมาเรียนรู้วิธีการดื่มน้ำที่ถูกต้องกันครับ
การดื่มน้ำที่ถูกวิธี
- ตื่นนอนดื่ม 2-3 แก้ว ช่วยให้เลือดไม่ข้น ห่างไกลโรคหัวใจ และไล่ของเสียออกจากร่างกาย
- ระหว่างวัน แบ่งดื่มให้ได้ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว เพื่อให้ร่างกายค่อยๆดูดซึม ไม่เป็นภาระของไต
- ก่อนและหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
ที่มา: Herbale
เคล็ดลับ 8 ประการในการดูแลสุขภาพ
1. ควรดื่มน้ำให้พอเพียงในแต่ละวัน ร่าง กายประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ เลือดประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้าขาดน้ำ เลือดก็จะข้น หนืด ไหลเวียนไม่สะดวก หัวใจก็จะต้องทำงานหนัก เพราะต้องปั๊มเลือดที่หนืดข้นไปเลี้ยงร่างกาย เมื่อทำงานหนักก็จะโต หรือไม่ก็พัง ลิ้นหัวใจก็พังเพราะต้องทำงานหนัก ตับไตก็จะทำงานหนัก ในการขับกรองของเสียออกจากเลือดที่หนืดข้น เส้นเลือดก็จะขอด อุดตันในหัวใจ สมอง และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
การดื่มน้ำที่ถูกวิธี
- ตื่นนอนดื่ม 2-3 แก้ว ช่วยให้เลือดไม่ข้น ห่างไกลโรคหัวใจ และไล่ของเสียออกจากร่างกาย
- ระหว่างวัน แบ่งดื่มให้ได้ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว
- ก่อนและหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
*** หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น น้ำเย็นลงไปดับไฟย่อยอาหารจนไฟมอด อาหารจึงไม่ย่อย พากันหมักจนเป็นแก๊สพิษขึ้นมา เผาปาก เผาคอ เผาต่อมไทรอยด์ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นแผลในปากคอ มีกลิ่นปากเหม็น
2. อาหารมื้อเช้า คือ มื้อที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะเวลา 7-9 โมงเช้านั้น คือเวลาที่พลังชีวิต เดินผ่านเส้นลมปราณกระเพาะอาหาร ตามหลักนาฬิกาชีวิต ...การทานอาหารเวลานี้ จะทำให้ร่างกายได้รับคุณค่าจากสารอาหารอย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด คนที่ไม่ชอบทานอาหารมื้อเช้า มักทำร้ายร่างกายโดยไม่ตั้งใจเพราะ การอดอาหารในเวลาที่ร่างกายต้องการ จะทำให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ เมื่อสะสมนานวันเข้า ก็เกิดเป็นการป่วยด้วยโรคต่างๆ เพราะอวัยวะภายในเสื่อมและหย่อนพิการลง จึงไม่ต้องแปลกใจว่า คนที่ไม่ชอบทานอาหารเช้า แต่ทดแทนด้วยกาแฟและอาหารที่ไม่มีประโยชน์ จะมีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ อ่อนเพลียเรื้อรัง โรคกระเพาะถามหา(สาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ) และโลหิตจาง ….ดังนั้น อย่าลืมเติมสารอาหาร ด้วยอาหารที่มีประโยชน์ให้กับร่างกายทุกเช้านะครับ
3. หลีกเลี่ยงนม และผลิตภันณ์จากนม องค์ประกอบนมวัวกับนมคนนั้น แตกต่างกันมาก นมวัวมีแคลเซียมมากกว่านมคนประมาณ 4 เท่า มีโปรตีนมากกว่า 3 เท่า และมีคาร์โบไฮเดรตเพียง 2 ใน 3 ของนมคน โครงสร้าง และอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน ระหว่างลูกวัว กับทารก ทำให้องค์ประกอบเหล่านี้ มีสัดส่วนแตกต่างกัน
นมวัวเหมาะที่จะใช้เลี้ยงลูกวัว ซึ่งมีน้ำหนักแรกเกิดถึง 40 กิโลกรัม แค่อายุ 2 ปี น้ำหนักก็ขึ้นได้ถึง 900 กว่ากิโลกรัม ส่วนทารกมีน้ำหนักแรกเกิด 2 – 3 กิโลกรัม อยู่จนอายุ 20 ปี น้ำหนักตัวเฉลี่ยก็เพียง 68 กิโลกรัม ซึ่งเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันมาก
เคซีนที่เป็นโปรตีนในนม เนย ดูดซึมยากมาก มันจะเกาะตัวคลือบอยู่ในสภาพที่ย่อยไม่ได้ตามผนังกระเพาะ ลำไส้ แล้วพากันบูดเน่ากลายเป็นสารพิษที่ทำให้ระบบย่อยอาหารรวมทั้งตับอ่อน น้ำดีเสื่อมลง ก่อให้เกิดมูกเมือกไปทั่ว
4. รับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง มนุษย์นั้นไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ เป็นสัตว์ประเภทลิง กินผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืชเป็นอาหาร เพราะลำไส้ยาวกว่าสัตว์กินเนื้อมาก แต่น้ำย่อยมีความเข้มข้นน้อยกว่าสัตว์กินเนื้อถึง 20 เท่า การบริโภคเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่มาจากเนื้อสัตว์ ทำให้เส้นทางเดินอาหารอ่อนแอลง นำไปสู่ความผิดปกติของลำไส้ในแบบต่างๆ โปรตีนจากสัตว์เริ่มเน่าทันทีเมื่อสัตว์ถูกฆ่า ซึ่งผิดกับโปรตีนของพืชผักและธัญพืช จะไม่เน่าเสียก่อนที่จะกิน การแช่ตู้เย็น หรือสารกันบูดก็พอจะช่วยให้เนื้อสัตว์ไม่เน่าได้ แต่เมื่อถูกนำมาปรุงอาหารแล้วก็จะเริ่มเน่าเสียแล้ว
นอกจากจะมีโรคติดเชื้อในเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีเรื่องของสารพิษตกค้างในอาหารที่มาจากสัตว์ด้วย สัตว์ที่เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารจะถูกเลี้ยงด้วยฮอร์โมนเพื่อจะได้อ้วนเร็วๆ แล้วต้องโตเร็วๆ ด้วย ก็ต้องใช้ยาปฏิชีวนะเร่ง ไก่ซึ่งเคยใช้เวลาเลี้ยง 8 เดือนกว่าจะนำมาขายเป็นไก่เนื้อได้ แต่ปัจจุบันเขาเลี้ยงกันแค่ 45 วันก็ขายได้ ก็คิดกันเอาเองว่าสารเคมีแปลกปลอมที่เร่งโต และยาปฏิชีวะนะที่สะสมอยู่ในเนื้อสัตว์จะมีมากเพียงใด
5. หลีกเลี่ยงหวาน เราทราบกันดีว่าน้ำตาลนั้นให้พลังงานแก่ร่างกาย เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยถ้าได้ดื่มอะไรหวานๆ เช่นน้ำอัดลม น้ำหวาน เครื่องดื่มชูกำลังที่วางขายกันดาษดื่น เราก็จะรู้สึกสดชื่นมีกำลัง แต่สักพักก็จะรู้สึกเหนื่อยใหม่ ก็ดื่มกินกันใหม่ โดยไม่ได้คิดถึงโทษจาการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ปกติแล้วเราควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 7 ช้อนชาต่อวัน เพื่อไม่ให้ตับอ่อนเราต้องทำงานหนักในการผลิตอินซูลินเพื่อมาจัดการกับ น้ำตาล แต่ทุกวันนี้เราบริโภคน้ำตาลกันจนล้น เมื่อน้ำตาลมากเกินไป ร่างกายก็จะจัดการนำไปเก็บไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อในรูปของไขมัน รอเวลาขาดแคลนจึงจะนำออกมาใช้
ไม่ใช่มีแค่โรคเบาหวานอย่างเดียว มีโรคอีกมากมายที่เกิดจาก “ความหวาน” นี้ ความหวานนี้เป็นอาหารที่เชื้อโรคต่างๆ ชอบมาก เชื้อรา แบคทีเรีย จุลินทรีย์ จะพากันเริงร่าเมื่อมีความหวาน สังเกตว่าเมื่อบริโภคหวาน ไม่ว่าจากน้ำตาลโดยตรง หรือจะเป็นผลไม้หวานมากๆ จะมีอาการคัน เชื้อรากำเริบ และจะรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมาก
รสหวานนั้นเป็นหยาง(ร้อน) เมื่ออาหารที่รับประทานเข้าไปไม่ย่อย และเมื่อไม่ย่อยบวกกับความหวานก็จะเกิดการหมัก กลายเป็นกรด เป็นแก๊สเสียขึ้น และถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย กระแสเลือด เมื่อร่างกายถูกหล่อเลี้ยงด้วยของเสียก็ย่อมเจ็บป่วย
6. การนอน (ควรเข้านอนไม่เกิน 5 ทุ่ม) ปัจจุบันเราต่างพากันขยายเวลากลางวันเข้าไปทดแทนเวลากลางคืน ไม่ยอมหลับยอมนอนกัน ดูทีวี เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ เที่ยวกลางคืน หรือไม่ก็ทำงานกันทั้งคืน แล้วก็มานอนเอาตอนรุ่งสาง โดยมีความคิดว่า มันเงียบดี ไม่มีใครมารบกวน ได้งานเยอะ เห็นมาหลายรายว่าอยู่ได้ไม่กี่น้ำ ทำอยู่ได้ไม่กี่ปี ก็จะค่อยๆ สะสมความเจ็บป่วย มีโรคสะสมเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งหนักหนาสาหัสนั่นแหละถึงจะรู้สึกตัว
ชีวิตของเรานั้น ต้องมีชีวิตอยู่จนกว่าจะหมดอายุไข เสื่อมตามวัย และเสียชีวิตไปเอง ดังนั้น ต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ดำเนินชีวิตโดยยึดนาฬิกาแห่งชีวิตบ้าง เราควรจะนอนไม่เกิน 5 ทุ่ม
7. การเอาพิษออกจากร่างกาย ปัจจุบันนี้เราต้องเผชิญกับ “พิษ” ที่มีอยู่รอบตัวเรา มีทั้งสารพิษ อากาศที่เป็นมลพิษ อาหารที่มีพิษ รวมทั้งพิษที่เราสร้างขึ้นเองในร่างกาย ที่เกิดจากการย่อยไม่ได้ ถ่ายไม่ดี อาหารก็คั่งค้างหมักหมมกลายเป็นสารพิษอยู่ในกระเพาะลำไส้ แล้วถูกดูดซึมเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เข้าอยู่ในกระแสเลือด ร่างกายจึงอุดมด้วยพิษ การเอาพิษออกจากร่างกายทำให้หลากหลายวิธี เช่น
- โดยวิธีสวนล้างลำไส้ พิษที่เยอะที่สุดคือลำไส้ใหญ่ ที่ยาวประมาณ 5-6 ฟุต ถ้าอาหารไม่ย่อยด้วยแล้ว อาหารที่ว่าดีๆ ที่รับประทานเข้าไปก็จะไหลมาคั่งค้างเน่าเหม็นอยู่ที่ลำไส้ใหญ่นี้ ถ้าเป็นไปได้ ลองหาเวลาเข้าคอร์สล้างพิษตับก็เป็นวิธีที่เร็วที่สุดครับ
- อดอาหารดื่มแต่น้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้
- บางวันรับประทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวทั้งวัน โดยมากจะใช้ มะละกอ แคนตาลูป หรือฝรั่ง - การกัวซา (ขูดพิษที่ผิวหนัง)
- นวดกดจุด นวดตัว นวดเท้า เพื่อขับของเสีย
- ใช้ยาถ่าย หรือยาระบาย เช่น ส้มแขก ,มะขามแขก ,ธรณีสันฑะฆาติ ,จตุผลาธิกะ ,ตรีผลา หรือ เบญจพันธุ์
- การทำ Oil Pulling ด้วยน้ำมันมะพร้าว
8. อย่าลืม แบ่งเวลาเพื่อออกกำลังกายในแต่ละวัน และมีความรักในหัวใจ สร้างความดี ทำให้จิตใจสบาย ถ้ามีความเกลียดชังในหัวใจ โรคภัยจะมาเยือน หากทุกคนปฏิบุติตามนี้ได้ย่อมจะมีสุขภาพแข็งแรง แม้ว่าตอนเริ่มต้นจะรู้สึกว่าทำยาก แต่จงจำไว้ว่าร่างกายเป็นเสาหลักที่ทำให้เราประสบความสำเร็จและได้ทุกอย่าง มา หากไม่มีร่างกายที่แข็งแรงก็จะสูญเสียทุกอย่างไป สุขภาพที่ดีจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเรา จึงต้องดูแลรักษาร่างกายซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งล้ำค้าไว้ตลอดกาล อาจจะเหนื่อยยากบ้างก็มิใช่เรื่องสลักสำคัญ ถ้ายืนหยัดทำอย่างนี้ อย่างต่อเนื่อง ปรับเปลี่ยนความเคยชิน การมีสุขภาพดีก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายและติดเป็นนิสัย ทั้งนี้เพราะร่างกายของเราจะตอบสนองต่อตัวเราเอง
…...................................
เพิ่มเติม : สมุนไพร และอาหารเสริมที่ใช้ในคลินิก ดิอโรคยา เพื่อช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย ให้มีการย่อยได้ และขับถ่ายดี
- ขมิ้นชัน หรือ ยาโรคกระเพาะ ดิอโรคยา (ทานก่อนอาหาร 2 แคปซูล)
สรรพคุณ ช่วยปรับสมดุลให้กระเพาะอาหาร กระตุ้นการผลิตน้ำย่อย และรักษาแผลในกระเพาะได้ดี ก็คือขมิ้นชัน แต่เพิ่มขิงและโกฐเขมา สมุนไพรที่ช่วยในการขับลม เพื่อไล่ลมออกจากกระเพาะอาหาร เมื่อกระเพาะย่อยอาหารได้ และไม่เกิดลมอัดแน่นในกระเพาะ ลำไส้ก็สามารถดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์เพื่อนำไปใช้สร้างเซลล์ต่างๆได้ อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- ธรณีสันฑะฆาติ หรือ ยาคลายเส้น ดอิโรคยา (ทานก่อนนอน 2 แคปซูล)
ตำรับยาไทยที่กระทรวงสาธารณสุข ประกาศเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ มีสรรพคุณดีทอกซ์ของเสียที่เป็นก้อนติดแน่นตั้งแต่ลำไส้ส่วนบนถึงลำไส้ส่วน ล่างออกจากร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เลือดลมเดินสะดวก ต่างจากการดีทอกซ์ด้วยกาแฟ ซึ่งจะขับของเสียออกแค่จากลำไส้ส่วนล่างเท่านั้น
- สาหร่ายเกลียวทอง (ทานเช้า 5 เม็ด + น้ำ 2 แก้ว)
ช่วยเติมเต็มส่วนขาด ลดการเสื่อมของเซลล์ ฟื้นฟูร่างกายด้วยโปรตีนจากพืช และสารอาหารจำนวนมาก ที่ย่อย และดูดซึมง่าย แทบไม่เหลือของเสียให้ร่างกายต้องทำงานหนักในการกำจัดออก มีสรรพคุณ ฟื้นฟูตับ ช่วยในการผลิตเลือดที่มีประสิทธิภาพ และชะลอความชรา ,เพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ (Prebiotic) ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ,เพิ่ม HDL (ไขมันชนิดดี) ลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ทำให้ห่างไกลโรคระบบหลอดเลือด
ที่มา: Herbale
สาเหตุที่ทำให้ตับเสื่อม ตับขี้เกียจ (อ่อนเพลียเรื้อรัง ,เบาหวาน ,ตับแข็ง ,มะเร็งตับ ,ดื่มสุราบ่อย) และ สมุนไพร รวมถึง วิธีฟื้นฟูตับให้แข็งแรง
หากใครที่พักผ่อนได้ไม่เพียงพอทำงานหามรุ่งหามค่ำ นอนดึกเป็นประจำ ตื่นไม่เคยทันอาหารเช้า ต้องทานอาหารมื้อเที่ยงและเย็นหนักๆ ตบท้ายด้วยของหวานเพราะมีอาการอ่อนเพลีย(ต้องการน้ำตาล) ตับก็จะร้อนและทำงานได้น้อยลงเรื่อยๆผมมักจะเรียกโรคนี้ให้คนไข้เข้าใจง่ายขึ้นว่า “โรคตับขี้เกียจ”
หน้าที่หลักๆของตับที่จะเสื่อมถอยลงคือ
1.สร้างพลังงานเมื่อไหร่ที่ตับของเราเริ่มขี้เกียจเราก็จะเริ่มสร้างพลังงาน ได้น้อยลง ทำให้ติดกาแฟและของหวานเพราะสร้างพลังงานได้ง่าย แต่อยู่ได้เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น
2.เอาของเสียออกจากร่างกาย ตับที่เอาของเสียออกได้น้อย ก็จะเริ่มเสื่อมสภาพทำให้ของเสียตกค้างอยู่ในร่างกายมาก สังเกตความเสื่อมของตับได้จาก ผิวหนังที่หมองคล้ำ(คล้ายคนอดนอน) และ ตาขาวเหลืองขุ่น หรือตาแดงคนไข้บางท่านก็มีอาการบ้านหมุน น้ำในหูไม่เท่ากัน
ผู้ที่เป็นเจ้าของตับขี้เกียจในลักษณะนี้ก็จะหนีไม่พ้น อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง โรคฮิตติดลมบนกันทั่วโลก ซึ่งอาการไม่ใช่เพียงอ่อนเพลียเท่านั้น จะมีอาการข้างเคียงมาด้วยเช่น ตึงขาด้านข้าง ไล่ขึ้นมาตั้งแต่เท้าบริเวณนิ้วนาง ข้อเท้าด้านข้าง จุดสลักเพชรบริเวณแก้มก้น ปวดตึงศีรษะด้านข้างบริเวณเหนือใบหู(คล้ายโรคไมเกรน)และท้องอืดง่าย
ดังนั้นช่วงที่มีอาการจึงควรแก้ไขพฤติกรรมที่ทำร้ายตับ เพื่อให้ตับได้พักผ่อนและซ่อมแซมตัวเองเสียบ้าง วิธีคือ
1. นอนก่อน 5 ทุ่มเพราะเป็นเวลาที่ลมปราณของถุงน้ำดีทำงานคู่กันกับตับ จนถึงตีสาม
2. งดดื่มเหล้าและ แอลกอฮอล์ทุกชนิด
3. งดกาแฟเพราะมีคาเฟอีนซึ่งไปกระตุ้นให้ตับทำงานมากเกินไป
4. ลดอาหารกลุ่มไขมัน ไขมันทรานส์ ของมันของทอด
5. ทานอาหารเช้าให้ได้ทุกวันไม่เกิน 9 โมงเช้าเพราะเป็นเวลาที่มีน้ำย่อยและเอนไซม์มากพร้อมที่จะเปลี่ยนอาหารให้ เป็นพลังงานและสารอาหารได้อย่างรวดเร็ว
6. ก่อนนอน 2-3 ชม.ไม่ทานอาหารมื้อหนัก
7. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
8. นวดตัวอาทิตย์ละ 1 ครั้งโดยเฉพาะเส้นข้างขา
ตับของเราเป็นอวัยวะที่ใหญ่และอดทนมาก แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วจะแก้ไขได้ยาก รวมถึงร่างกายจะทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว ดังนั้นทำความเข้าใจและลดพฤติกรรมทำร้ายตับไว้แต่เนิ่นๆเป็นหนทางดูแลตับที่ ดีที่สุดครับ
.....................
สมุนไพร และวิธีฟื้นฟูตับ 8 ขั้นตอน
สรรพคุณโดยย่อ : เร่งระบายของเสียออกจากร่างกายด้วยการดีท๊อกซ์ ,ลดของเสียโดยสนับสนุนให้กระเพาะ และลำไส้ ย่อยและดูดซึมอาหารได้ดี ด้วย ขมิ้นชัน และ Probiotic ,บำรุงตับด้วยโสม เติมสารอาหารให้ตับเพื้อผลิตเลือดด้วยสาหร่ายเกลียวทอง ,ละลายไขมันที่พอกตับ ด้วยน้ำมันมะพร้าว ,เร่งตับขับสารพิษ และไขมันออกจากตับ ด้วยสมุนไพรเบญจพันธุ์
1. ทานขมิ้นชัน (ก่อนอาหาร 2 แคปซูล) ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน อาหารไม่ย่อย เพิ่มประสิทธิภาพในการย่อย และ กำจัดลม ช่วยให้ตับหลั่งน้ำดี อีกทั้งมีสารอาหารและต้านอนุมูลอิสระอยู่มากช่วยให้ตับแข็งแรงขึ้น
2. ทานน้ำเอนไซม์ (หลังอาหารทุกมื้อ) หรือ ผลิตภัณฑ์โปรไบโอติก(จุลินทรีย์ที่ดี)เพื่อเร่งกระบวนการย่อยสลายของเสียตก ค้างในลำไส้ เพื่อลดภาระการทำงานของตับ
3. น้ำมันมะพร้าว ( 2-4 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารเช้า ,เย็น) เพิ่มไขมันชนิดดี โดยทานน้ำมันมะพร้าว เพื่อเพิ่มไขมันชนิดดี (HDL) ที่จะช่วยนำไขมันคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ออกจากร่างกาย อีกทั้งยังช่วยทำความสะอาดหลอดเลือดไม่ให้อุดตัน ( ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ Ze-oil ประกอบด้วย น้ำมันมะพร้าว น้ำมันกระเทียม น้ำมันงาขี้ม่อน น้ำมันรำข้าว ทานตื่นนอน และก่อนนอน 2 แคปซูล )
4. ยาน้ำสมุนไพรเบญจพันธุ์ ลูกใต้ใบ (หลังอาหาร 2 ช้อนโต๊ะ) ช่วยบำรุงตับ และ เปิดท่อน้ำดีเพื่อให้ของเสียและไขมันที่พอกอุดตันที่ตับ ถูกขับออกมาง่ายขึ้น รวมถึงการช่วยดึงดูดน้ำเข้าสู่กระแสเลือดให้มากขึ้น เพื่อเร่งการขับของเสียออกทางปัสสาวะได้มากขึ้นอีกทาง โดย
5. โสม (เช้าวันละ 1 เม็ด) มีสรรพคุณบำรุงอวัยวะภายในทั้งห้า (หัวใจ ตับ ปอด ม้าม ไต) เพิ่มการดูดซึมออกซิเจนของผนังเซล เซลจึงสามารถสร้างพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของสารอาหารเข้าสู่ร่างกายและสมอง กระตุ้นให้ตับอ่อน สร้างอินซูลินได้ ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในภาวะสมดุล (สำหรับคนไทยเมืองร้อน ขอแนะนำเฉพาะ โสม GR150 เท่านั้น)
6. สาหร่ายเกลียวทอง (ตื่นนอนตอนเช้า 5 เม็ด + น้ำ 2 แก้ว) เป็นอาหารที่ เหมาะสำหรับฟื้นฟู ตับ เพราะ เนื้อเยื่อของตับประกอบด้วยสารประเภทโปรตีนถึง 70% ซึ่งใกล้เคียงกับ โปรตีนที่มีอยู่ในสาหร่ายเกลียวทองที่มีมากถึง 70% เช่นกัน (มากกว่าไข่ไก่และเนื้อสัตว์ 2-3 เท่า) ดังนั้นในการฟื้นฟูเซลล์ของตับที่เสียหาย ต้องใช้โปรตีนในการซ่อมแซม อีกทั้งสาหร่ายเกลียวทอง สามารถย่อยง่าย และ ดูดซึมได้ถึง 95% ดังนั้น ตับก็จะได้โปรตีนและสารอื่นๆจำนวนมากเพื่อไปซ่อมแซมเซลล์ตับ และ ไม่ต้องทำงานหนักในการกำจัดของเสีย ตับก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เร็ว
7. ยาธรณีสันฑะฆาต (ก่อนนอน 2 แคปซูล) มีสรรพคุณดีทอกซ์ของเสียที่เป็นก้อนติดแน่นตั้งแต่ลำไส้ส่วนบนถึงลำไส้ส่วน ล่างออกจากร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เลือดลมเดินสะดวก ต่างจากการดีทอกซ์ด้วยกาแฟ ซึ่งจะขับของเสียออกแค่จากลำไส้ส่วนล่างเท่านั้น
8. ทำ Detox แบบสวนล้างลำไส้ (สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง) จะช่วยให้ของเสียในลำไส้ใหญ่น้อยลง ตับต้องทำงานน้อยลงด้วย
ที่มา: Herbale
ไทรอยด์ โรคแห่งความร้อน
ช่วงปีที่ผ่านมานี้ผมพบคนไข้ที่มีปัญหากับไทรอยด์แทบจะทุกวัน บางวันหลายคน ส่วนใหญ่เป็นสุภาพสตรี แต่ละท่านต้องกินยากันทุกวัน บางท่านก็กลืนน้ำแร่แล้ว และก็ต้องกินฮอร์โมนตลอดชีวิต ทุกท่านที่เป็นโรคไทรอยด์ที่มาพบ ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะ ร่างกายขาดน้ำ และ กระเพาะอาหารไม่ย่อย
มารู้จักต่อมไทรอยด์กันก่อน ร่างกายเรานั้นมีต่อมอยู่มากมาย สามารถแบ่งเป็นต่อมขับหลั่งภายนอก กับต่อมขับหลั่งภายใน สารขับหลั่งภายนอกจะถูกขับออกมาทางท่อ ดังนั้นเราจึงเรียกว่า ต่อมมีท่อ เช่น ต่อมน้ำลาย ต่อมน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และลำไส้
ส่วนต่อมขับหลั่งภายในนั้นไม่มีท่อ จึงเรียกว่าต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ต่อมไทรอยด์ ซึ่งสารขับหลั่งจากต่อมไร้ท่อนี้ เรียกว่า ฮอร์โมน ซึ่งฮอร์โมนนี้จะเข้าสู่เส้นเลือดฝอยที่อยู่รอบๆ ตัวต่อมโดยตรง และจะไหลไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายตามการไหลเวียนของเลือด
ต่อมไทรอยด์ เป็นต่อมไร้ท่อที่อยู่ด้านหน้าของลำคอ ต่อมนี้มี 2 พู แผ่ออกด้านข้างและคลุมพื้นที่บริเวณด้านหน้าและด้านข้างของหลอดลม “ไธร็อกซิน” เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมไทรอยด์ สามารถเพิ่มปริมาณความร้อนในร่างกาย ซึ่งตรงกับหน้าที่ของหยางในไต ต่อมนี้มีความสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติสุข หากต่อมไทรอยด์นี้ทำงานผิดปกติมากหรือน้อยเกินไป จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะอื่นๆ
โรคของต่อมไทรอยด์มีหลายชนิด เช่นไฮเปอร์ไทรอยด์(ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ), ไฮโปไทรอยด์, ต่อมไทรอยด์อักเสบ, มะเร็งต่อมไทรอยด์
อาการที่จะบอกว่าเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์(ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ) หรือภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมาก เกินไป คือ ทั้งๆที่รับประทานอาหารมาก หิวบ่อย กินเก่ง แต่น้ำหนักตัวกลับลดลง เหนื่อยง่าย ใจสั่น ขี้ร้อน เคืองตา คันตา ตาอักเสบบ่อย หรือตาโปน
อาการที่จะบอกว่าเป็นไฮโปไทรอยด์ หรือภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย เกินไป คือ รับประทานอาหารตามปกติ ไม่ได้หิวหรือกินมาก แต่น้ำหนักกลับเพิ่ม ตัวบวม หน้าบวม เฉื่อยชาเหมือนคนขี้เกียจ อ่อนเพลีย ขี้หนาว ผมร่วง ผิวแห้ง
ร่างกายขาดน้ำ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเกิดขึ้นกับต่อมไทรอยด์ เพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำ อวัยวะทั้งภายในและภายนอกก็จะพากันร้อนไปหมดโดยเฉพาะตับ เมื่อร้อนจะมีผลกระทบกับต่อมไทรอยด์นี้มาก เพราะเส้นลมปราณตับที่เดินผ่านจากตับขึ้นมาที่ลำคอ เดินเรียบขนานกับลำคอไปที่คอหอยซึ่งเป็นที่ตั้งของต่อมไทรอยด์ ขึ้นไปสู่ศีรษะ เมื่อตับร้อน ก็ส่งผลกระทบต่อต่อมไทรอยด์นี้แน่นอน เหมือนถูกเผา
พลังตับ หรือลมตับจะขึ้นสู่เบื้องบน อวัยวะส่วนไหนที่อยู่ใกล้ตับ หรืออยู่เหนือตับขึ้นไป ก็จะถูกเผาให้ร้อนไปตามๆ กัน ตามที่เราจะเห็นได้ว่า “ตาเป็นประตูของตับ” ตาแดง และเมื่อศีรษะร้อน หรือปวดหัวด้านบน ก็เพราะตับร้อนนี่แหละ
หลายท่านอาจจะเถียงคอเป็นเอ็นได้ว่าดื่มน้ำเยอะ ดื่มน้ำมาก วันละ 2-3 ลิตร หรือบางท่านบอกว่าดื่มตั้ง 5 ลิตร แล้วจะมาบอกว่าขาดน้ำได้อย่างไร
ผมไม่ได้ว่าท่านดื่มน้ำน้อย แต่บอกว่า “ขาดน้ำ” ดื่มน้ำมากจริง แต่ดื่มแล้วร่างกายดูดซึมไว้ไม่ได้ เพราะเล่นดื่มครั้งละ 1-2 แก้ว หรือบางท่านดื่มทีละเป็นขวด ลำไส้เราดูดซึมรับไว้ไม่ทัน ปัสสาวะทิ้งหมด ดังที่ผมว่าเมื่อเราให้น้ำกับต้นไม้ น้ำหยดทีละหยด รากต้นไม้ดูดซึมทัน ต้นไม้ก็อยู่ได้ ไม่ขาดน้ำ แต่ถ้าเทรดลงไปเป็นถังๆ น้ำก็ไหลลงดินไปหมด ต้นไม้ดูดซึมซับไว้ไม่ทัน เปลืองน้ำ และต้นไม้ก็ขาดน้ำได้ เช่นเดียวกับคนเราถ้าดื่มน้ำมากๆ น้ำก็ไหลออกไปหมดเช่นกัน นี่คือการขาดน้ำตามที่ผมหมายความถึง
กระเพาะอาหารไม่ย่อย เมื่ออาหารที่เราทานเข้าไปไม่ย่อยแล้ว อาหารที่ว่าดีๆ นั้นก็พากันหมักเน่าเหม็น กลายเป็นถังหมักแก๊ส ที่ผลิตแก๊สพิษที่ร้อนทั้งวันทั้งคืนไม่มีเวลาพัก ธรรมชาติของความร้อนก็จะพุ่งขึ้นเบื้องบน ซึ่งก็ผ่านลำคอที่มีต่อมไทรอยด์ตั้งอยู่ ต่อมนี้ก็เลยต้องถูกไอร้อนพุ่งขึ้นจากกระเพาะอาหารและลำไส้เผาอยู่ตลอดเวลา ทุกวินาที
จาก 2 กรณีตามที่ผมว่ามา ลองหลับตานึกวาดภาพปลาที่เขานำมาย่างรมควันบนเตาถ่านอยู่ ลักษณะจะเป็นอย่างไร มันจะแห้งจนกรอบเลยใช่ไหม แล้วต่อมไทรอยด์ของเราล่ะ มันจะอึดอดทนตั้งหน้าตั้งตาทำงานอยู่ได้อย่างไร เมื่อเขาถูกย่างไฟอยู่ตลอด มันก็ต้องเพี้ยนไปหมดแหละ ว่าไหมครับ
แล้วเราจะไปมัวแต่จะใช้ยาไปบีบบังคับเขาให้ทำงานอยู่อีกได้ไหม? เขาทำไม่ไหวหรอก เขาจะทำได้หรือในเมื่อตัวเขาเองยังถูกปิ้งย่างอยู่อย่างนั้น ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วจะไปช่วยใครได้อีกเล่า ผู้ที่มีปัญหากับไทรอยด์ ลองจับคอ หลัง ไหล่ จับศีรษะท่านดูเถอะ ว่ามันร้อนขนาดไหน คอก็จะแดง ตาก็จะแดง บางท่านตาโปนออกมา ก็เพราะไอความร้อนที่ดันพุ่งขึ้นดันลูกนัยน์ตาจนโปนออก ที่ทางการแพทย์เขาว่า ความดันลูกตาสูงนั่นแหละ อะไรมันจะดันได้ล่ะถ้าไม่ใช่ลมหรือแก๊ส
คุณพรสิตา สุภาพสตรีวัย 45 ปี น้ำหนัก 43 กิโลกรัม เป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ มีอาการเหนื่อย เหงื่อออกมาก หน้าตาแดง คอแดง ขี้เกียจ อยากนอนไม่อยากจะทำอะไร สมองตื้อคิดอะไรไม่ออก ตาหนักๆ เริ่มตาปูดโปนออกมาแล้ว รอบเดือนก็หายไป ซึมเศร้ารู้สึกหดหู่ ตอนนี้กินยาวันละ 3 เม็ด
“เคยเป็นมาก่อนแล้ว รักษาติดต่อกันมา 2 ปี ต้องพบหมอตรวจทุก 2 เดือน กินยาวันละ 5 เม็ด แล้วค่อยลดลงมา จนหายไปได้ 4 เดือน แล้วโรคนี้ก็กลับมาเยือนใหม่ หมอบอกว่าต้องกินยาตลอดชีวิต หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องกลืนน้ำแร่ แต่ต้องจองคิวเป็นเดือน ต้องอยู่ห้องพิเศษ เก็บตัวอยู่คนเดียว ลูกเต้าอยู่ด้วยไม่ได้ หนูได้ฟังก็กลัวแล้ว” เธอว่าให้ฟัง
พฤติกรรมของเธอ ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว เป็นน้ำเย็นช่วงรับประทานอาหาร ตื่นเช้าก็กาแฟร้อนก่อนเลย อาหารมื้อแรกกลายเป็นมื้อเที่ยง แล้วตามด้วยน้ำอัดลม บางมื้อตามด้วยน้ำผลไม้เป็นกล่องๆ ไม่ชอบทานผักและผลไม้นัก
อีกท่านหนึ่ง คือ คุณสุนทรีย์ อายุ 57 ปี น้ำหนัก 54 กก. เป็นโรคไทรอยด์ ตั้งแต่อายุ 16 ปี รักษาโดยการทานน้ำแร่กัมมันตรังสี และต้องทานยาฮอร์โมนตั้งแต่นั้นมา หมอบอกให้ทานตลอดชีวิต ถ้าไม่ทานยา ร่างกายจะไม่เผาผลาญ ทำให้อ้วน เฉื่อยชา พูดติดอ่าง
นอกจากไทรอยด์แล้ว ยังมีอาการชาที่ฝ่าเท้า เจ็บเหมือนมีเข็มทิ่ม มือก็ชา เป็นเวลามากกว่า 10 ปีแล้ว, กระพริบตาบ่อย โดยเฉพาะเวลาเครียด ขอบตาดำ เคยผ่าตัดซีสต์ และ ตัดมดลูกรังไข่ออกทั้งหมด
ก็จะไม่ให้ป่วยขนาดนี้ได้อย่าง ไร ลองดูอาหารการกินของเธอ ทานแต่น้ำเย็นทั้งวัน, น้ำอัดลม แบบไดเอ็ทไม่ใส่น้ำตาล 3 กระป๋อง ตื่นเช้าก็ไม่ทานน้ำ ทั้งวันก็ทานน้ำ 3-4 แก้วเท่านั้น ทั้งๆที่ตามน้ำหนักตัวต้องทานน้ำ อย่างน้อย 1.8 ลิตร หรือ 9 แก้ว ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ วันๆก็อยู่แต่ห้องแล็บ ซึ่งเป็นห้องแอร์ ไม่จำเป็นต้องทานน้ำเย็น แต่ก็ทานน้ำเย็นตลอด
ผมได้แนะนำให้ทานอาหารผัก น้ำพริก, ข้าวกล้อง, งดน้ำเย็น, งดน้ำอัดลม และทานน้ำขั้นต่ำ 1.8 ลิตร ตามที่คำนวณ, นวด 10 ครั้ง ภายในเวลา 2 เดือน ปรากฏว่าอาการเจ็บป่วยเริ่มดีขึ้น มีความสุขในการดำเนินชีวิต
คุณพรสิตา ก็เป็นตามที่ผมว่ามา คือ ร่างกายขาดน้ำ และกระเพาะอาหารไม่ย่อย จนตัวร้อนเป็นไฟ โดยเฉพาะร่างกายช่วงบน ผมขูดพิษให้เธอดู โดยใช้น้ำมันมะพร้าวทาตรงคอ และไหล่แล้วเอาไม้ขูดพิษขูด ผิวหนังที่ถูกขูดจะแดงเป็นผื่นจนน่ากลัว คนไข้เห็นแล้วยังทำท่าตกใจเลย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไทรอยด์ ลองขูดพิษดูจะรู้สึกสบายตัวขึ้น
…..............................
วิธีการที่จะบำบัดโรคไทรอยด์ ก็ต้องลดความร้อนในร่างกาย และทำให้ระบบย่อยอาหาร ย่อยได้ดีขึ้น
1 ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตเสียใหม่ รับประทานอาหารให้เป็นเวลา ไม่ใช่ตื่นเช้าขึ้นมาก็ดื่มกาแฟแก้วเดียว เพื่อปลุกชีวิตให้คืนชีพ จะได้สดชื่น แล้วก็ไปรับประทานอาหารมื้อแรกเอาตอนเที่ยงวัน ร่างกายจะมีสารอาหารมาบำรุงซ่อมแซมร่างกายได้อย่างไร ควรนอนไม่เกิน 5 ทุ่ม เพื่อให้ถุงน้ำดีได้พัก และตับได้ทำงานที่ควรจะทำตามนาฬิกาชีวิต จะได้มีเรี่ยวแรงทำงานต่อไปได้
2 ต้องดื่มน้ำให้ถูกต้อง ถูกวิธี และดื่มน้ำให้พอเพียง
การดื่ม น้ำที่ถูกวิธี
- ตื่นนอนดื่ม 2-3 แก้ว ช่วยให้เลือดไม่ข้น ห่างไกลโรคหัวใจ และไล่ของเสียออกจากร่างกาย
- ระหว่างวัน แบ่งดื่มให้ได้ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว
- ก่อนและหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
3 ใช้สมุนไพรช่วยย่อยอาหาร เช่น ขมิ้น หรือ ขิง รับประทานก่อนอาหารทุกมื้อ จะเป็น แบบแคปซูล เป็นลูกกลอน หรือสดๆก็ได้ แนะนำยาโรคกระเพาะ(ขมิ้นชันแคปซูล)
วิธีทาน : 2 แคปซูล ก่อนอาหารทุกมื้อ
4 ใช้สมุนไพรเพื่อลดความร้อน และช่วยสงบตับ ดับพิษร้อน โดยมากจะเป็นอาหารรสขม หรือจืด
- ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด มะระขี้นก ต้นลูกใต้ใบ ใบย่านาง รางจืด นำมาต้มกิน จะผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน หรือใส่แคปซูลก็ได้ตามใจชอบ ต้มกินทีละอย่างเท่าที่หาได้ (ไม่ต้องหาให้ครบทุกอย่างก็ได้นะครับ)
- ต้นซาคาโฮ้ว (เสือสามขา) นำมาต้มกินต่างน้ำก็ได้
- ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน (ทั้งน้ำทั้งเนื้อ) ซักวันละลูก น้ำผักปั่นวันละ 2-3 แก้ว ช่วงท้องว่าง ขอให้รับประทานก่อนทานอาหารครึ่งชั่วโมง หรือหลังอาหาร 1 ชั่วโมง เพื่อดับพิษร้อน หรือทานเป็นมื้ออาหารเย็นโดยไม่ทานอาหารอื่นๆก็ได้
ที่มา: Herbale
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)