วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

เคล็ดลับ 8 ประการในการดูแลสุขภาพ

 รูปภาพ : เคล็ดลับ 8 ประการในการดูแลสุขภาพ
บทความโดย : หมอแดงดิอโรคยา

1. ควรดื่มน้ำให้พอเพียงในแต่ละวัน ร่าง กายประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ เลือดประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้าขาดน้ำ เลือดก็จะข้น หนืด ไหลเวียนไม่สะดวก หัวใจก็จะต้องทำงานหนัก เพราะต้องปั๊มเลือดที่หนืดข้นไปเลี้ยงร่างกาย  เมื่อทำงานหนักก็จะโต หรือไม่ก็พัง ลิ้นหัวใจก็พังเพราะต้องทำงานหนัก ตับไตก็จะทำงานหนัก ในการขับกรองของเสียออกจากเลือดที่หนืดข้น เส้นเลือดก็จะขอด อุดตันในหัวใจ สมอง และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต

การดื่มน้ำที่ถูกวิธี 
- ตื่นนอนดื่ม 2-3 แก้ว ช่วยให้เลือดไม่ข้น ห่างไกลโรคหัวใจ และไล่ของเสียออกจากร่างกาย
- ระหว่างวัน แบ่งดื่มให้ได้ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว
- ก่อนและหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร

*** หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น น้ำเย็นลงไปดับไฟย่อยอาหารจนไฟมอด อาหารจึงไม่ย่อย พากันหมักจนเป็นแก๊สพิษขึ้นมา เผาปาก เผาคอ เผาต่อมไทรอยด์ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นแผลในปากคอ มีกลิ่นปากเหม็น

2. อาหารมื้อเช้า คือ มื้อที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะเวลา 7-9 โมงเช้านั้น คือเวลาที่พลังชีวิต เดินผ่านเส้นลมปราณกระเพาะอาหาร ตามหลักนาฬิกาชีวิต ...การทานอาหารเวลานี้ จะทำให้ร่างกายได้รับคุณค่าจากสารอาหารอย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด คนที่ไม่ชอบทานอาหารมื้อเช้า มักทำร้ายร่างกายโดยไม่ตั้งใจเพราะ การอดอาหารในเวลาที่ร่างกายต้องการ จะทำให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ เมื่อสะสมนานวันเข้า ก็เกิดเป็นการป่วยด้วยโรคต่างๆ เพราะอวัยวะภายในเสื่อมและหย่อนพิการลง จึงไม่ต้องแปลกใจว่า คนที่ไม่ชอบทานอาหารเช้า แต่ทดแทนด้วยกาแฟและอาหารที่ไม่มีประโยชน์ จะมีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ อ่อนเพลียเรื้อรัง โรคกระเพาะถามหา(สาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ) และโลหิตจาง ….ดังนั้น อย่าลืมเติมสารอาหาร ด้วยอาหารที่มีประโยชน์ให้กับร่างกายทุกเช้านะครับ

3. หลีกเลี่ยงนม และผลิตภันณ์จากนม องค์ประกอบนมวัวกับนมคนนั้น แตกต่างกันมาก นมวัวมีแคลเซียมมากกว่านมคนประมาณ 4 เท่า มีโปรตีนมากกว่า 3 เท่า และมีคาร์โบไฮเดรตเพียง 2 ใน 3 ของนมคน โครงสร้าง และอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน ระหว่างลูกวัว กับทารก ทำให้องค์ประกอบเหล่านี้ มีสัดส่วนแตกต่างกัน 

นมวัวเหมาะที่จะใช้เลี้ยงลูกวัว ซึ่งมีน้ำหนักแรกเกิดถึง 40 กิโลกรัม แค่อายุ 2 ปี น้ำหนักก็ขึ้นได้ถึง 900 กว่ากิโลกรัม ส่วนทารกมีน้ำหนักแรกเกิด 2 – 3 กิโลกรัม อยู่จนอายุ 20 ปี น้ำหนักตัวเฉลี่ยก็เพียง 68 กิโลกรัม ซึ่งเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันมาก  

เคซีนที่เป็นโปรตีนในนม เนย ดูดซึมยากมาก มันจะเกาะตัวคลือบอยู่ในสภาพที่ย่อยไม่ได้ตามผนังกระเพาะ ลำไส้ แล้วพากันบูดเน่ากลายเป็นสารพิษที่ทำให้ระบบย่อยอาหารรวมทั้งตับอ่อน น้ำดีเสื่อมลง ก่อให้เกิดมูกเมือกไปทั่ว

4. รับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง มนุษย์นั้นไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ เป็นสัตว์ประเภทลิง กินผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืชเป็นอาหาร เพราะลำไส้ยาวกว่าสัตว์กินเนื้อมาก แต่น้ำย่อยมีความเข้มข้นน้อยกว่าสัตว์กินเนื้อถึง 20 เท่า การบริโภคเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่มาจากเนื้อสัตว์ ทำให้เส้นทางเดินอาหารอ่อนแอลง นำไปสู่ความผิดปกติของลำไส้ในแบบต่างๆ โปรตีนจากสัตว์เริ่มเน่าทันทีเมื่อสัตว์ถูกฆ่า ซึ่งผิดกับโปรตีนของพืชผักและธัญพืช จะไม่เน่าเสียก่อนที่จะกิน การแช่ตู้เย็น หรือสารกันบูดก็พอจะช่วยให้เนื้อสัตว์ไม่เน่าได้ แต่เมื่อถูกนำมาปรุงอาหารแล้วก็จะเริ่มเน่าเสียแล้ว

นอกจากจะมีโรคติดเชื้อในเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีเรื่องของสารพิษตกค้างในอาหารที่มาจากสัตว์ด้วย สัตว์ที่เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารจะถูกเลี้ยงด้วยฮอร์โมนเพื่อจะได้อ้วนเร็วๆ แล้วต้องโตเร็วๆ ด้วย ก็ต้องใช้ยาปฏิชีวนะเร่ง ไก่ซึ่งเคยใช้เวลาเลี้ยง 8 เดือนกว่าจะนำมาขายเป็นไก่เนื้อได้ แต่ปัจจุบันเขาเลี้ยงกันแค่ 45 วันก็ขายได้ ก็คิดกันเอาเองว่าสารเคมีแปลกปลอมที่เร่งโต และยาปฏิชีวะนะที่สะสมอยู่ในเนื้อสัตว์จะมีมากเพียงใด

5. หลีกเลี่ยงหวาน เราทราบกันดีว่าน้ำตาลนั้นให้พลังงานแก่ร่างกาย เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยถ้าได้ดื่มอะไรหวานๆ เช่นน้ำอัดลม น้ำหวาน เครื่องดื่มชูกำลังที่วางขายกันดาษดื่น เราก็จะรู้สึกสดชื่นมีกำลัง แต่สักพักก็จะรู้สึกเหนื่อยใหม่ ก็ดื่มกินกันใหม่ โดยไม่ได้คิดถึงโทษจาการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ปกติแล้วเราควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 7 ช้อนชาต่อวัน เพื่อไม่ให้ตับอ่อนเราต้องทำงานหนักในการผลิตอินซูลินเพื่อมาจัดการกับน้ำตาล แต่ทุกวันนี้เราบริโภคน้ำตาลกันจนล้น เมื่อน้ำตาลมากเกินไป ร่างกายก็จะจัดการนำไปเก็บไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อในรูปของไขมัน รอเวลาขาดแคลนจึงจะนำออกมาใช้

ไม่ใช่มีแค่โรคเบาหวานอย่างเดียว มีโรคอีกมากมายที่เกิดจาก “ความหวาน” นี้ ความหวานนี้เป็นอาหารที่เชื้อโรคต่างๆ ชอบมาก เชื้อรา แบคทีเรีย จุลินทรีย์ จะพากันเริงร่าเมื่อมีความหวาน สังเกตว่าเมื่อบริโภคหวาน ไม่ว่าจากน้ำตาลโดยตรง หรือจะเป็นผลไม้หวานมากๆ จะมีอาการคัน เชื้อรากำเริบ และจะรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมาก

รสหวานนั้นเป็นหยาง(ร้อน) เมื่ออาหารที่รับประทานเข้าไปไม่ย่อย และเมื่อไม่ย่อยบวกกับความหวานก็จะเกิดการหมัก กลายเป็นกรด เป็นแก๊สเสียขึ้น และถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย กระแสเลือด เมื่อร่างกายถูกหล่อเลี้ยงด้วยของเสียก็ย่อมเจ็บป่วย

6. การนอน (ควรเข้านอนไม่เกิน 5 ทุ่ม) ปัจจุบันเราต่างพากันขยายเวลากลางวันเข้าไปทดแทนเวลากลางคืน ไม่ยอมหลับยอมนอนกัน ดูทีวี เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ เที่ยวกลางคืน หรือไม่ก็ทำงานกันทั้งคืน แล้วก็มานอนเอาตอนรุ่งสาง โดยมีความคิดว่า มันเงียบดี ไม่มีใครมารบกวน ได้งานเยอะ เห็นมาหลายรายว่าอยู่ได้ไม่กี่น้ำ ทำอยู่ได้ไม่กี่ปี ก็จะค่อยๆ สะสมความเจ็บป่วย มีโรคสะสมเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งหนักหนาสาหัสนั่นแหละถึงจะรู้สึกตัว

ชีวิตของเรานั้น ต้องมีชีวิตอยู่จนกว่าจะหมดอายุไข เสื่อมตามวัย และเสียชีวิตไปเอง ดังนั้น ต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ดำเนินชีวิตโดยยึดนาฬิกาแห่งชีวิตบ้าง เราควรจะนอนไม่เกิน 5 ทุ่ม

7. การเอาพิษออกจากร่างกาย ปัจจุบันนี้เราต้องเผชิญกับ “พิษ” ที่มีอยู่รอบตัวเรา มีทั้งสารพิษ อากาศที่เป็นมลพิษ อาหารที่มีพิษ รวมทั้งพิษที่เราสร้างขึ้นเองในร่างกาย ที่เกิดจากการย่อยไม่ได้ ถ่ายไม่ดี อาหารก็คั่งค้างหมักหมมกลายเป็นสารพิษอยู่ในกระเพาะลำไส้ แล้วถูกดูดซึมเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เข้าอยู่ในกระแสเลือด ร่างกายจึงอุดมด้วยพิษ การเอาพิษออกจากร่างกายทำให้หลากหลายวิธี เช่น

- โดยวิธีสวนล้างลำไส้ พิษที่เยอะที่สุดคือลำไส้ใหญ่ ที่ยาวประมาณ 5-6 ฟุต ถ้าอาหารไม่ย่อยด้วยแล้ว อาหารที่ว่าดีๆ ที่รับประทานเข้าไปก็จะไหลมาคั่งค้างเน่าเหม็นอยู่ที่ลำไส้ใหญ่นี้ ถ้าเป็นไปได้ ลองหาเวลาเข้าคอร์สล้างพิษตับก็เป็นวิธีที่เร็วที่สุดครับ
- อดอาหารดื่มแต่น้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้
- บางวันรับประทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวทั้งวัน โดยมากจะใช้ มะละกอ แคนตาลูป หรือฝรั่ง - การกัวซา (ขูดพิษที่ผิวหนัง)
- นวดกดจุด นวดตัว นวดเท้า เพื่อขับของเสีย
- ใช้ยาถ่าย หรือยาระบาย เช่น ส้มแขก ,มะขามแขก ,ธรณีสันฑะฆาติ ,จตุผลาธิกะ ,ตรีผลา หรือ เบญจพันธุ์
- การทำ Oil Pulling ด้วยน้ำมันมะพร้าว

8. อย่าลืม แบ่งเวลาเพื่อออกกำลังกายในแต่ละวัน และมีความรักในหัวใจ สร้างความดี ทำให้จิตใจสบาย ถ้ามีความเกลียดชังในหัวใจ โรคภัยจะมาเยือน หากทุกคนปฏิบุติตามนี้ได้ย่อมจะมีสุขภาพแข็งแรง แม้ว่าตอนเริ่มต้นจะรู้สึกว่าทำยาก แต่จงจำไว้ว่าร่างกายเป็นเสาหลักที่ทำให้เราประสบความสำเร็จและได้ทุกอย่าง มา หากไม่มีร่างกายที่แข็งแรงก็จะสูญเสียทุกอย่างไป สุขภาพที่ดีจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเรา จึงต้องดูแลรักษาร่างกายซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งล้ำค้าไว้ตลอดกาล อาจจะเหนื่อยยากบ้างก็มิใช่เรื่องสลักสำคัญ ถ้ายืนหยัดทำอย่างนี้ อย่างต่อเนื่อง ปรับเปลี่ยนความเคยชิน การมีสุขภาพดีก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายและติดเป็นนิสัย ทั้งนี้เพราะร่างกายของเราจะตอบสนองต่อตัวเราเอง

…...................................

เพิ่มเติม : สมุนไพร และอาหารเสริมที่ใช้ในคลินิก ดิอโรคยา เพื่อช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย ให้มีการย่อยได้ และขับถ่ายดี

- ขมิ้นชัน หรือ ยาโรคกระเพาะ ดิอโรคยา (ทานก่อนอาหาร 2 แคปซูล)
สรรพคุณ ช่วยปรับสมดุลให้กระเพาะอาหาร กระตุ้นการผลิตน้ำย่อย และรักษาแผลในกระเพาะได้ดี ก็คือขมิ้นชัน แต่เพิ่มขิงและโกฐเขมา สมุนไพรที่ช่วยในการขับลม เพื่อไล่ลมออกจากกระเพาะอาหาร เมื่อกระเพาะย่อยอาหารได้ และไม่เกิดลมอัดแน่นในกระเพาะ ลำไส้ก็สามารถดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์เพื่อนำไปใช้สร้างเซลล์ต่างๆได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

- ธรณีสันฑะฆาติ หรือ ยาคลายเส้น ดอิโรคยา (ทานก่อนนอน 2 แคปซูล)
ตำรับยาไทยที่กระทรวงสาธารณสุข ประกาศเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ มีสรรพคุณดีทอกซ์ของเสียที่เป็นก้อนติดแน่นตั้งแต่ลำไส้ส่วนบนถึงลำไส้ส่วนล่างออกจากร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เลือดลมเดินสะดวก ต่างจากการดีทอกซ์ด้วยกาแฟ ซึ่งจะขับของเสียออกแค่จากลำไส้ส่วนล่างเท่านั้น

- สาหร่ายเกลียวทอง (ทานเช้า 5 เม็ด + น้ำ 2 แก้ว)
ช่วยเติมเต็มส่วนขาด ลดการเสื่อมของเซลล์ ฟื้นฟูร่างกายด้วยโปรตีนจากพืช และสารอาหารจำนวนมาก ที่ย่อย และดูดซึมง่าย แทบไม่เหลือของเสียให้ร่างกายต้องทำงานหนักในการกำจัดออก มีสรรพคุณ ฟื้นฟูตับ ช่วยในการผลิตเลือดที่มีประสิทธิภาพ และชะลอความชรา ,เพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ (Prebiotic) ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ,เพิ่ม HDL (ไขมันชนิดดี) ลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ทำให้ห่างไกลโรคระบบหลอดเลือด

….............................

- ดิอโรคยาการแพทย์แผนไทย : 02-682-1215 , 02-358-0050-2 , 086-111-5522

กด Like ไกลโรคกับ Herbale



1. ควรดื่มน้ำให้พอเพียงในแต่ละวัน ร่าง กายประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ เลือดประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้าขาดน้ำ เลือดก็จะข้น หนืด ไหลเวียนไม่สะดวก หัวใจก็จะต้องทำงานหนัก เพราะต้องปั๊มเลือดที่หนืดข้นไปเลี้ยงร่างกาย เมื่อทำงานหนักก็จะโต หรือไม่ก็พัง ลิ้นหัวใจก็พังเพราะต้องทำงานหนัก ตับไตก็จะทำงานหนัก ในการขับกรองของเสียออกจากเลือดที่หนืดข้น เส้นเลือดก็จะขอด อุดตันในหัวใจ สมอง และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต

การดื่มน้ำที่ถูกวิธี
- ตื่นนอนดื่ม 2-3 แก้ว ช่วยให้เลือดไม่ข้น ห่างไกลโรคหัวใจ และไล่ของเสียออกจากร่างกาย
- ระหว่างวัน แบ่งดื่มให้ได้ วันละ 1.5-2 ลิตร โดยวิธีการแบ่งดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว
- ก่อนและหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร

*** หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น น้ำเย็นลงไปดับไฟย่อยอาหารจนไฟมอด อาหารจึงไม่ย่อย พากันหมักจนเป็นแก๊สพิษขึ้นมา เผาปาก เผาคอ เผาต่อมไทรอยด์ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นแผลในปากคอ มีกลิ่นปากเหม็น

2. อาหารมื้อเช้า คือ มื้อที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะเวลา 7-9 โมงเช้านั้น คือเวลาที่พลังชีวิต เดินผ่านเส้นลมปราณกระเพาะอาหาร ตามหลักนาฬิกาชีวิต ...การทานอาหารเวลานี้ จะทำให้ร่างกายได้รับคุณค่าจากสารอาหารอย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด คนที่ไม่ชอบทานอาหารมื้อเช้า มักทำร้ายร่างกายโดยไม่ตั้งใจเพราะ การอดอาหารในเวลาที่ร่างกายต้องการ จะทำให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ เมื่อสะสมนานวันเข้า ก็เกิดเป็นการป่วยด้วยโรคต่างๆ เพราะอวัยวะภายในเสื่อมและหย่อนพิการลง จึงไม่ต้องแปลกใจว่า คนที่ไม่ชอบทานอาหารเช้า แต่ทดแทนด้วยกาแฟและอาหารที่ไม่มีประโยชน์ จะมีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ อ่อนเพลียเรื้อรัง โรคกระเพาะถามหา(สาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ) และโลหิตจาง ….ดังนั้น อย่าลืมเติมสารอาหาร ด้วยอาหารที่มีประโยชน์ให้กับร่างกายทุกเช้านะครับ

3. หลีกเลี่ยงนม และผลิตภันณ์จากนม องค์ประกอบนมวัวกับนมคนนั้น แตกต่างกันมาก นมวัวมีแคลเซียมมากกว่านมคนประมาณ 4 เท่า มีโปรตีนมากกว่า 3 เท่า และมีคาร์โบไฮเดรตเพียง 2 ใน 3 ของนมคน โครงสร้าง และอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน ระหว่างลูกวัว กับทารก ทำให้องค์ประกอบเหล่านี้ มีสัดส่วนแตกต่างกัน

นมวัวเหมาะที่จะใช้เลี้ยงลูกวัว ซึ่งมีน้ำหนักแรกเกิดถึง 40 กิโลกรัม แค่อายุ 2 ปี น้ำหนักก็ขึ้นได้ถึง 900 กว่ากิโลกรัม ส่วนทารกมีน้ำหนักแรกเกิด 2 – 3 กิโลกรัม อยู่จนอายุ 20 ปี น้ำหนักตัวเฉลี่ยก็เพียง 68 กิโลกรัม ซึ่งเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันมาก

เคซีนที่เป็นโปรตีนในนม เนย ดูดซึมยากมาก มันจะเกาะตัวคลือบอยู่ในสภาพที่ย่อยไม่ได้ตามผนังกระเพาะ ลำไส้ แล้วพากันบูดเน่ากลายเป็นสารพิษที่ทำให้ระบบย่อยอาหารรวมทั้งตับอ่อน น้ำดีเสื่อมลง ก่อให้เกิดมูกเมือกไปทั่ว

4. รับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง มนุษย์นั้นไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ เป็นสัตว์ประเภทลิง กินผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืชเป็นอาหาร เพราะลำไส้ยาวกว่าสัตว์กินเนื้อมาก แต่น้ำย่อยมีความเข้มข้นน้อยกว่าสัตว์กินเนื้อถึง 20 เท่า การบริโภคเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์ที่มาจากเนื้อสัตว์ ทำให้เส้นทางเดินอาหารอ่อนแอลง นำไปสู่ความผิดปกติของลำไส้ในแบบต่างๆ โปรตีนจากสัตว์เริ่มเน่าทันทีเมื่อสัตว์ถูกฆ่า ซึ่งผิดกับโปรตีนของพืชผักและธัญพืช จะไม่เน่าเสียก่อนที่จะกิน การแช่ตู้เย็น หรือสารกันบูดก็พอจะช่วยให้เนื้อสัตว์ไม่เน่าได้ แต่เมื่อถูกนำมาปรุงอาหารแล้วก็จะเริ่มเน่าเสียแล้ว

นอกจากจะมีโรคติดเชื้อในเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีเรื่องของสารพิษตกค้างในอาหารที่มาจากสัตว์ด้วย สัตว์ที่เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารจะถูกเลี้ยงด้วยฮอร์โมนเพื่อจะได้อ้วนเร็วๆ แล้วต้องโตเร็วๆ ด้วย ก็ต้องใช้ยาปฏิชีวนะเร่ง ไก่ซึ่งเคยใช้เวลาเลี้ยง 8 เดือนกว่าจะนำมาขายเป็นไก่เนื้อได้ แต่ปัจจุบันเขาเลี้ยงกันแค่ 45 วันก็ขายได้ ก็คิดกันเอาเองว่าสารเคมีแปลกปลอมที่เร่งโต และยาปฏิชีวะนะที่สะสมอยู่ในเนื้อสัตว์จะมีมากเพียงใด

5. หลีกเลี่ยงหวาน เราทราบกันดีว่าน้ำตาลนั้นให้พลังงานแก่ร่างกาย เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยถ้าได้ดื่มอะไรหวานๆ เช่นน้ำอัดลม น้ำหวาน เครื่องดื่มชูกำลังที่วางขายกันดาษดื่น เราก็จะรู้สึกสดชื่นมีกำลัง แต่สักพักก็จะรู้สึกเหนื่อยใหม่ ก็ดื่มกินกันใหม่ โดยไม่ได้คิดถึงโทษจาการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ปกติแล้วเราควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 7 ช้อนชาต่อวัน เพื่อไม่ให้ตับอ่อนเราต้องทำงานหนักในการผลิตอินซูลินเพื่อมาจัดการกับ น้ำตาล แต่ทุกวันนี้เราบริโภคน้ำตาลกันจนล้น เมื่อน้ำตาลมากเกินไป ร่างกายก็จะจัดการนำไปเก็บไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อในรูปของไขมัน รอเวลาขาดแคลนจึงจะนำออกมาใช้

ไม่ใช่มีแค่โรคเบาหวานอย่างเดียว มีโรคอีกมากมายที่เกิดจาก “ความหวาน” นี้ ความหวานนี้เป็นอาหารที่เชื้อโรคต่างๆ ชอบมาก เชื้อรา แบคทีเรีย จุลินทรีย์ จะพากันเริงร่าเมื่อมีความหวาน สังเกตว่าเมื่อบริโภคหวาน ไม่ว่าจากน้ำตาลโดยตรง หรือจะเป็นผลไม้หวานมากๆ จะมีอาการคัน เชื้อรากำเริบ และจะรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมาก

รสหวานนั้นเป็นหยาง(ร้อน) เมื่ออาหารที่รับประทานเข้าไปไม่ย่อย และเมื่อไม่ย่อยบวกกับความหวานก็จะเกิดการหมัก กลายเป็นกรด เป็นแก๊สเสียขึ้น และถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย กระแสเลือด เมื่อร่างกายถูกหล่อเลี้ยงด้วยของเสียก็ย่อมเจ็บป่วย

6. การนอน (ควรเข้านอนไม่เกิน 5 ทุ่ม) ปัจจุบันเราต่างพากันขยายเวลากลางวันเข้าไปทดแทนเวลากลางคืน ไม่ยอมหลับยอมนอนกัน ดูทีวี เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ เที่ยวกลางคืน หรือไม่ก็ทำงานกันทั้งคืน แล้วก็มานอนเอาตอนรุ่งสาง โดยมีความคิดว่า มันเงียบดี ไม่มีใครมารบกวน ได้งานเยอะ เห็นมาหลายรายว่าอยู่ได้ไม่กี่น้ำ ทำอยู่ได้ไม่กี่ปี ก็จะค่อยๆ สะสมความเจ็บป่วย มีโรคสะสมเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งหนักหนาสาหัสนั่นแหละถึงจะรู้สึกตัว

ชีวิตของเรานั้น ต้องมีชีวิตอยู่จนกว่าจะหมดอายุไข เสื่อมตามวัย และเสียชีวิตไปเอง ดังนั้น ต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ดำเนินชีวิตโดยยึดนาฬิกาแห่งชีวิตบ้าง เราควรจะนอนไม่เกิน 5 ทุ่ม

7. การเอาพิษออกจากร่างกาย ปัจจุบันนี้เราต้องเผชิญกับ “พิษ” ที่มีอยู่รอบตัวเรา มีทั้งสารพิษ อากาศที่เป็นมลพิษ อาหารที่มีพิษ รวมทั้งพิษที่เราสร้างขึ้นเองในร่างกาย ที่เกิดจากการย่อยไม่ได้ ถ่ายไม่ดี อาหารก็คั่งค้างหมักหมมกลายเป็นสารพิษอยู่ในกระเพาะลำไส้ แล้วถูกดูดซึมเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เข้าอยู่ในกระแสเลือด ร่างกายจึงอุดมด้วยพิษ การเอาพิษออกจากร่างกายทำให้หลากหลายวิธี เช่น

- โดยวิธีสวนล้างลำไส้ พิษที่เยอะที่สุดคือลำไส้ใหญ่ ที่ยาวประมาณ 5-6 ฟุต ถ้าอาหารไม่ย่อยด้วยแล้ว อาหารที่ว่าดีๆ ที่รับประทานเข้าไปก็จะไหลมาคั่งค้างเน่าเหม็นอยู่ที่ลำไส้ใหญ่นี้ ถ้าเป็นไปได้ ลองหาเวลาเข้าคอร์สล้างพิษตับก็เป็นวิธีที่เร็วที่สุดครับ
- อดอาหารดื่มแต่น้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้
- บางวันรับประทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวทั้งวัน โดยมากจะใช้ มะละกอ แคนตาลูป หรือฝรั่ง - การกัวซา (ขูดพิษที่ผิวหนัง)
- นวดกดจุด นวดตัว นวดเท้า เพื่อขับของเสีย
- ใช้ยาถ่าย หรือยาระบาย เช่น ส้มแขก ,มะขามแขก ,ธรณีสันฑะฆาติ ,จตุผลาธิกะ ,ตรีผลา หรือ เบญจพันธุ์
- การทำ Oil Pulling ด้วยน้ำมันมะพร้าว

8. อย่าลืม แบ่งเวลาเพื่อออกกำลังกายในแต่ละวัน และมีความรักในหัวใจ สร้างความดี ทำให้จิตใจสบาย ถ้ามีความเกลียดชังในหัวใจ โรคภัยจะมาเยือน หากทุกคนปฏิบุติตามนี้ได้ย่อมจะมีสุขภาพแข็งแรง แม้ว่าตอนเริ่มต้นจะรู้สึกว่าทำยาก แต่จงจำไว้ว่าร่างกายเป็นเสาหลักที่ทำให้เราประสบความสำเร็จและได้ทุกอย่าง มา หากไม่มีร่างกายที่แข็งแรงก็จะสูญเสียทุกอย่างไป สุขภาพที่ดีจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเรา จึงต้องดูแลรักษาร่างกายซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งล้ำค้าไว้ตลอดกาล อาจจะเหนื่อยยากบ้างก็มิใช่เรื่องสลักสำคัญ ถ้ายืนหยัดทำอย่างนี้ อย่างต่อเนื่อง ปรับเปลี่ยนความเคยชิน การมีสุขภาพดีก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายและติดเป็นนิสัย ทั้งนี้เพราะร่างกายของเราจะตอบสนองต่อตัวเราเอง

…...................................

เพิ่มเติม : สมุนไพร และอาหารเสริมที่ใช้ในคลินิก ดิอโรคยา เพื่อช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย ให้มีการย่อยได้ และขับถ่ายดี

- ขมิ้นชัน หรือ ยาโรคกระเพาะ ดิอโรคยา (ทานก่อนอาหาร 2 แคปซูล)
สรรพคุณ ช่วยปรับสมดุลให้กระเพาะอาหาร กระตุ้นการผลิตน้ำย่อย และรักษาแผลในกระเพาะได้ดี ก็คือขมิ้นชัน แต่เพิ่มขิงและโกฐเขมา สมุนไพรที่ช่วยในการขับลม เพื่อไล่ลมออกจากกระเพาะอาหาร เมื่อกระเพาะย่อยอาหารได้ และไม่เกิดลมอัดแน่นในกระเพาะ ลำไส้ก็สามารถดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์เพื่อนำไปใช้สร้างเซลล์ต่างๆได้ อย่างเต็มประสิทธิภาพ

- ธรณีสันฑะฆาติ หรือ ยาคลายเส้น ดอิโรคยา (ทานก่อนนอน 2 แคปซูล)
ตำรับยาไทยที่กระทรวงสาธารณสุข ประกาศเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ มีสรรพคุณดีทอกซ์ของเสียที่เป็นก้อนติดแน่นตั้งแต่ลำไส้ส่วนบนถึงลำไส้ส่วน ล่างออกจากร่างกาย ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เลือดลมเดินสะดวก ต่างจากการดีทอกซ์ด้วยกาแฟ ซึ่งจะขับของเสียออกแค่จากลำไส้ส่วนล่างเท่านั้น

- สาหร่ายเกลียวทอง (ทานเช้า 5 เม็ด + น้ำ 2 แก้ว)
ช่วยเติมเต็มส่วนขาด ลดการเสื่อมของเซลล์ ฟื้นฟูร่างกายด้วยโปรตีนจากพืช และสารอาหารจำนวนมาก ที่ย่อย และดูดซึมง่าย แทบไม่เหลือของเสียให้ร่างกายต้องทำงานหนักในการกำจัดออก มีสรรพคุณ ฟื้นฟูตับ ช่วยในการผลิตเลือดที่มีประสิทธิภาพ และชะลอความชรา ,เพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ (Prebiotic) ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ,เพิ่ม HDL (ไขมันชนิดดี) ลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ทำให้ห่างไกลโรคระบบหลอดเลือด


ที่มา:  Herbale

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น