วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

อาหารเป็นยาสำหรับหญิงตั้งครรภ์

9 สารอาหารที่หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรพลาด

      1. โปรตีน คือ สารอาหารหลักที่ร่างกายได้รับจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ โปรตีนมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสมอง ถ้าลูกได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ จะทำให้สมองมีขนาดเล็กกว่าปกติ

     แหล่งโปรตีน : มีมากในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ทุกชนิดและผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เช่น ปลา นม ไข่ ฯลฯ รวมถึงถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง เป็นต้น

      เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะโปรตีนเป็นสารอาหารหลักสำหรับร่างกายในการสร้างและเพิ่มขนาดเซลล์ สร้างน้ำนม เพิ่มปริมาตรเลือด สร้างน้ำย่อย สร้างภูมิคุ้มกัน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ โปรตีนจึงจำเป็นต่อแม่ท้องและลูกน้อยตั้งแต่แรกปฎิสนธิจนถึงกำหนดคลอด

      2. คาร์โบไฮเดรต เมื่อร่างกายย่อยอาหารประเภทแป้งแล้ว จะเปลี่ยนเป็นกลูโคสหรือน้ำตาลที่มีขนาดเล็กที่สุด เพื่อเป็นแหล่งพลังงานให้แก่ร่างกาย และเป็นอาหารที่จำเป็นของสมองของลูก

      แหล่งคาร์โบไฮเดรต : พบในข้าว ขนมปัง ธัญพืช พาสตา ผลไม้ น้ำตาล และน้ำผลไม้สด

      เหมาะสำหรับ : แม่ท้องไตรมาสที่ 1 เพราะหากแม่ท้องไตรมาสแรกมีอาการแพ้จากการตั้งครรภ์เนื่องจากฮอร์โมนไม่ สมดุล คาร์โบไฮเดรตจะเป็นสารอาหารที่กินง่าย ย่อยง่าย เพียงสัมผัสกับ amylase ที่มีในน้ำลาย ก็ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสได้แล้ว เสริมพลังให้แม่ท้องได้ง่ายๆ

      3. ธาตุเหล็ก ทำหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง นำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ถ้าแม่ขาดธาตุเหล็กอย่างรุนแรง และลูกได้รับเหล็กไม่เพียงพอ อาจทำให้เด็กมีสติปัญญาด้อยกว่าปกติ

      แหล่งธาตุเหล็ก : มีมากในงา ตับสัตว์ เนื้อแดง ไข่แดง ผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ฯลฯ

      เหมาะสำหรับ : แม่ท้องไตรมาสที่ 2 และ 3 เพราะระบบประสาทและระบบโลหิตในทารกที่มีการพัฒนามาตั้งแต่เดือนแรกจนถึง เดือนที่สามจึงจะมีความสมบูรณ์ ขณะที่ร่างกายของแม่ท้องเริ่มสร้างและสะสมน้ำนม มีการเพิ่มปริมาตรเลือดในช่วงนี้ อาหารที่มีธาตุเหล็กเพียงพอจะทำให้เม็ดเลือดแดงดี คุณภาพน้ำนมดี

      4. ไอโอดีน มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางสมอง ระบบประสาท และความจำของลูก การขาดไอโอดีนเป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมและสติปัญญาด้อย

      แหล่งไอโอดีน : เกลือเสริมไอโอดีน อาหารทะเล เช่น ปลาทะเล กุ้ง หอย ปลาหมึก สาหร่ายทะเล ฯลฯ

      เหมาะสำหรับ : แม่ท้องไตรมาสที่ 2 และ 3 เพราะขณะตั้งครรภ์ต่อมไทรอยด์ทำงานมากขึ้น ร่างกายจึงต้องการไอโอดีนเพิ่มขึ้น

      5. โฟเลต ช่วยสร้างเซลล์สมอง ระบบประสาท และไขสันหลังให้เจ้าตัวเล็กในครรภ์

      แหล่งโฟเลต : พบมากในตับสัตว์ บร็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม และแคนตาลูป

      เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะโฟเลตเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการสร้างสารพันธุกรรม และทำให้เม็ดเลือดมีความสมบูรณ์ โดยเฉพาะไตรมาสแรกซึ่งมีการสร้างเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก หากแม่ท้องได้รับโฟเลตไม่เพียงพอในไตรมาสที่สองและสาม ทารกจะมีความเสี่ยงต่อพัฒนาการของสมองและประสาทไขสันหลัง อาจทำให้ทารกพิการทางสมองและประสาท ที่เรียกว่า neural tube defect

      6. โอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัวชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายของเราสร้างเองไม่ได้ ช่วยบำรุงเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพความจำ และสายตา

      แหล่งโอเมก้า 3 : พบมากในปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาโอ ปลาทู ปลาแซลมอน สาหร่ายทะเล ฯลฯ

      เหมาะสำหรับ : แม่ท้องไตรมาสที่ 2 และ 3 เพราะช่วงเดือนที่สอง ส่วนหัวของทารกพัฒนามากกว่าส่วนอื่น จำเป็นต้องได้รับโอเมกา3 เพื่อการเจริญเติบโตของเซลล์สมองและรอยหยักในสมอง โอเมกา3 ช่วยกระตุ้นเซลล์สมองให้ไวต่อการรับสัญญาณประสาท ในเนื้อปลาทะเลมีกรดอมิโน Thyrosine ซึ่งกระตุ้นสารสื่อนำประสาทสำคัญในสมองคือ Nerephinephrineและ Dopamine ทำให้สมองไวและมีสมาธิ มีความจำ เมื่อทารกคลอดสมองส่วนนี้จะเจริญต่อเนื่องจนเด็กอายุ 2 ขวบจึงเจริญเต็มที่

      7. วิตามินบี 2 ช่วยในการเจริญเติบโตและการพัฒนาสมองลูก ถ้าได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้สมองของทารกมีขนาดเล็ก

      แหล่งวิตามินบี 2 : มีมากในนม ไข่แดง เนื้อสัตว์ ตับ และโยเกิร์ต

      เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะวิตามินบี2 เป็นโคเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ผิวหนังไม่แห้งเป็นขุย ช่วยให้เม็ดเลือดแดงคงสภาพ รักษาสุขภาพของระบบประสาท

      8. วิตามินบี 6 ช่วยในการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาท

แหล่งวิตามินบี 6 : พบมากในเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง และกล้วย

      เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะวิตามินบี6 ช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตร่วมกับวิตามินบี1แถมยังช่วยในการเผาผลาญ โปรตีนและไขมันร่วมกับวิตามินบี 2 และบี 12

      ในช่วงไตรมาสแรกวิตามินบี 6 ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ลดอาการคลื่นไส้ ถ้าเด็กขาดวิตามินบี6 จะทำให้ชักได้ค่ะ

      9. วิตามินบี 12 ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม ความจำเสื่อม และช่วยให้การทำงานของสมองและประสาทให้เป็นปกติ

      แหล่งวิตามินบี 12 : พบมากในอาหารประเภท ตับ เนื้อสัตว์ ไข่ นม และหอยนางรม

      เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะวิตามินบี12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงมีขนาดปกติ ไม่ขาดธาตุเหล็ก ช่วยให้การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เป็นไปตามปกติ เซลล์สมองได้เลือดหล่อเลี้ยง ได้รับสารอาหารและออกซิเจนอย่างเพียงพอ

นอกจากกินอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารทั้ง 9 ชนิดแล้ว ต้องอย่าลืม “น้ำ” ด้วย เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของสมอง ช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ในสมอง คุณแม่ท้องควรดี่มน้ำบ่อยๆ ประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน หากอยากให้ลูกรักมีพัฒนาการทางสมองที่สมวัย


อาหารเป็นยาสำหรับคุณแม่ค่ะ

9 สารอาหารแม่ท้องไม่ควรพลาด

1. โปรตีน คือ สารอาหารหลักที่ร่างกายได้รับจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ โปรตีนมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสมอง ถ้าลูกได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ จะทำให้สมองมีขนาดเล็กกว่าปกติ

แหล่งโปรตีน : มีมากในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ทุกชนิดและผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เช่น ปลา นม ไข่ ฯลฯ รวมถึงถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง เป็นต้น

เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะโปรตีนเป็นสารอาหารหลักสำหรับร่างกายในการสร้างและเพิ่มขนาดเซลล์ สร้างน้ำนม เพิ่มปริมาตรเลือด สร้างน้ำย่อย สร้างภูมิคุ้มกัน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ โปรตีนจึงจำเป็นต่อแม่ท้องและลูกน้อยตั้งแต่แรกปฎิสนธิจนถึงกำหนดคลอด

2. คาร์โบไฮเดรต เมื่อร่างกายย่อยอาหารประเภทแป้งแล้ว จะเปลี่ยนเป็นกลูโคสหรือน้ำตาลที่มีขนาดเล็กที่สุด เพื่อเป็นแหล่งพลังงานให้แก่ร่างกาย และเป็นอาหารที่จำเป็นของสมองของลูก

แหล่งคาร์โบไฮเดรต : พบในข้าว ขนมปัง ธัญพืช พาสตา ผลไม้ น้ำตาล และน้ำผลไม้สด

เหมาะสำหรับ : แม่ท้องไตรมาสที่ 1 เพราะหากแม่ท้องไตรมาสแรกมีอาการแพ้จากการตั้งครรภ์เนื่องจากฮอร์โมนไม่สมดุล คาร์โบไฮเดรตจะเป็นสารอาหารที่กินง่าย ย่อยง่าย เพียงสัมผัสกับ amylase ที่มีในน้ำลาย ก็ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสได้แล้ว เสริมพลังให้แม่ท้องได้ง่ายๆ

3. ธาตุเหล็ก ทำหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง นำออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ถ้าแม่ขาดธาตุเหล็กอย่างรุนแรง และลูกได้รับเหล็กไม่เพียงพอ อาจทำให้เด็กมีสติปัญญาด้อยกว่าปกติ

แหล่งธาตุเหล็ก : มีมากในงา ตับสัตว์ เนื้อแดง ไข่แดง ผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ฯลฯ

เหมาะสำหรับ : แม่ท้องไตรมาสที่ 2 และ 3 เพราะระบบประสาทและระบบโลหิตในทารกที่มีการพัฒนามาตั้งแต่เดือนแรกจนถึงเดือนที่สามจึงจะมีความสมบูรณ์ ขณะที่ร่างกายของแม่ท้องเริ่มสร้างและสะสมน้ำนม มีการเพิ่มปริมาตรเลือดในช่วงนี้ อาหารที่มีธาตุเหล็กเพียงพอจะทำให้เม็ดเลือดแดงดี คุณภาพน้ำนมดี

4. ไอโอดีน มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางสมอง ระบบประสาท และความจำของลูก การขาดไอโอดีนเป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมและสติปัญญาด้อย

แหล่งไอโอดีน : เกลือเสริมไอโอดีน อาหารทะเล เช่น ปลาทะเล กุ้ง หอย ปลาหมึก สาหร่ายทะเล ฯลฯ

เหมาะสำหรับ : แม่ท้องไตรมาสที่ 2 และ 3 เพราะขณะตั้งครรภ์ต่อมไทรอยด์ทำงานมากขึ้น ร่างกายจึงต้องการไอโอดีนเพิ่มขึ้น

5. โฟเลต ช่วยสร้างเซลล์สมอง ระบบประสาท และไขสันหลังให้เจ้าตัวเล็กในครรภ์

แหล่งโฟเลต : พบมากในตับสัตว์ บร็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม และแคนตาลูป

เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะโฟเลตเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการสร้างสารพันธุกรรม และทำให้เม็ดเลือดมีความสมบูรณ์ โดยเฉพาะไตรมาสแรกซึ่งมีการสร้างเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก หากแม่ท้องได้รับโฟเลตไม่เพียงพอในไตรมาสที่สองและสาม ทารกจะมีความเสี่ยงต่อพัฒนาการของสมองและประสาทไขสันหลัง อาจทำให้ทารกพิการทางสมองและประสาท ที่เรียกว่า neural tube defect

6. โอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัวชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายของเราสร้างเองไม่ได้ ช่วยบำรุงเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพความจำ และสายตา

แหล่งโอเมก้า 3 : พบมากในปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาโอ ปลาทู ปลาแซลมอน สาหร่ายทะเล ฯลฯ

เหมาะสำหรับ : แม่ท้องไตรมาสที่ 2 และ 3 เพราะช่วงเดือนที่สอง ส่วนหัวของทารกพัฒนามากกว่าส่วนอื่น จำเป็นต้องได้รับโอเมกา3 เพื่อการเจริญเติบโตของเซลล์สมองและรอยหยักในสมอง โอเมกา3 ช่วยกระตุ้นเซลล์สมองให้ไวต่อการรับสัญญาณประสาท ในเนื้อปลาทะเลมีกรดอมิโน Thyrosine ซึ่งกระตุ้นสารสื่อนำประสาทสำคัญในสมองคือ Nerephinephrineและ Dopamine ทำให้สมองไวและมีสมาธิ มีความจำ เมื่อทารกคลอดสมองส่วนนี้จะเจริญต่อเนื่องจนเด็กอายุ 2 ขวบจึงเจริญเต็มที่

7. วิตามินบี 2 ช่วยในการเจริญเติบโตและการพัฒนาสมองลูก ถ้าได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้สมองของทารกมีขนาดเล็ก

แหล่งวิตามินบี 2 : มีมากในนม ไข่แดง เนื้อสัตว์ ตับ และโยเกิร์ต

เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะวิตามินบี2 เป็นโคเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ผิวหนังไม่แห้งเป็นขุย ช่วยให้เม็ดเลือดแดงคงสภาพ รักษาสุขภาพของระบบประสาท

8. วิตามินบี 6 ช่วยในการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาท

แหล่งวิตามินบี 6 : พบมากในเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง และกล้วย

เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะวิตามินบี6 ช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตร่วมกับวิตามินบี1แถมยังช่วยในการเผาผลาญโปรตีนและไขมันร่วมกับวิตามินบี 2 และบี 12

ในช่วงไตรมาสแรกวิตามินบี 6 ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ลดอาการคลื่นไส้ ถ้าเด็กขาดวิตามินบี6 จะทำให้ชักได้ค่ะ

9. วิตามินบี 12 ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม ความจำเสื่อม และช่วยให้การทำงานของสมองและประสาทให้เป็นปกติ

แหล่งวิตามินบี 12 : พบมากในอาหารประเภท ตับ เนื้อสัตว์ ไข่ นม และหอยนางรม

เหมาะสำหรับ : แม่ท้องทุกไตรมาส เพราะวิตามินบี12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงมีขนาดปกติ ไม่ขาดธาตุเหล็ก ช่วยให้การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เป็นไปตามปกติ เซลล์สมองได้เลือดหล่อเลี้ยง ได้รับสารอาหารและออกซิเจนอย่างเพียงพอ

นอกจากกินอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารทั้ง 9 ชนิดแล้ว ต้องอย่าลืม “น้ำ” ด้วย เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของสมอง ช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ในสมอง คุณแม่ท้องควรดี่มน้ำบ่อยๆ ประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน หากอยากให้ลูกรักมีพัฒนาการทางสมองที่สมวัย  
 ที่มา:  หมอสะกีนะฮฺ แพทย์แผนตะวันออก

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การอยู่ไฟหลังคลอด

รูปภาพ 

29 ขั้นตอนของการอยู่ไฟ มรดกภูมิปัญญาอัศจรรย์ของคนไทยจากรุ่นสู่รุ่น การอยู่ไฟหลังคลอดบุตรของคนไทยเป็นวิธีโบราณเพื่อให้สุขภาพดี คืนความสวยงามของคุณแม่หลังคลอดบุตร ขั้นตอนการอยู่ไฟตามหลักการแพทย์แผนไทย มุ่งเน้นเพื่อสุขภาพและความงามเป็นสำคัญ ควรทำวันละ 25-29 ขั้นตอนทุกวัน

การอยู่ไฟขั้น ตอนที่ 1 "การตรวจสภาพร่างกาย"
เป็นการเตรียมพร้อมร่างกายก่อนการอยู่ไฟ โดยจะมีการตรวจเช็คอาการภายนอกและอาการภายใน รวมถึงการซักประวัติโรคประจำตัว ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ตรวจวัดความดันโลหิตว่าอยู่ในสภาวะปกติหรือไม่

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 2 "การอาบน้ำสมุนไพร"
การอาบน้ำจะประกอบไปด้วยสมุนไพรสดมากมาย เช่น ขมิ้น ไพล มะกรุด ตะไคร้ ใบมะขาม ใบส้มเสี้ยว ใบส้มป่อย ฯลฯ ความอุ่นของน้ำสมุนไพรจะช่วยให้รูขุมขนเปิด นับเป็นขั้นตอนการเปิดผิวเพื่อให้สมุนไพรสามารถซึมผ่านเข้าสู่ใต้ผิวหนัง คุณแม่จะรู้สึกสดชื่น อีกทั้งยังช่วยดับกลิ่นน้ำคาวปลา และช่วยขจัดสิ่งสกปรกตามร่างกาย

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 3 "การนึ่งหม้อเกลือ"
เป็นการนำเอาเกลือเม็ดใส่ในหม้อดิน ตั้งไฟจนเกลือสุกประมาร 10-15 นาที วางลงบนสมุนไพรหลากหลายชนด ห่อด้วยใบพลับพลึงและผ้าขาว เกลือที่ตั้งไฟจนสุกจะสามารถเก็บความร้อนไว้ได้นาน 15-20 นาที เมื่อห่อเกลือด้วยใบพลับพลึงและผ้าขาว เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนำมาประคบตามร่างกาย ความร้อนจะช่วยให้รูขุมขนเปิด ทำให้สมุนไพรซึมผ่านลงผิวหนังไปทีละชั้นไปได้ ช่วยขับน้ำคาวปลา ขณะเดียวกันก็ขับของเสียออกมาตามรุขุมขน ทำให้คุณแม่มีผิวพรรณที่สวยงาม รัดมดลูกให้เข้าอู่เร็วขึ้นช่วยสลายไขมันส่วนเกินและช่วยลดสัดส่วนเชิงกราน ที่กว้างให้กลับเข้าที่ อีกทั้งการคลึงหม้อเกลือตามร่างกายยังช่วยลดอาการปวดเมื่อยได้อีกด้วย

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 4 "การประคบหน้าท้องด้วยใบพลับพลึงสด"
จะช่วยลดอาการบวมอักเสบตามร่างกายได้ ซึ่งในสมัยโบราณเชื่อกันว่าในใบพลับพลึงสดมีตัวยาที่จะช่วยสลายเซลลูไลต์ และช่วยลดไขมันส่วนเกินได้อีกด้วย (ใช้ร่วมกับการนึ่งหม้อเกลือ)

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 5 "การทายาหน้าท้องให้ยุบ"
เป็นตำรับยาโบราณที่มีมานานกว่า 100 ปี เป็นการนำเอาสมุนไพรที่มีรสร้อนกว่า 10 ชนิด มาบดรวมกันแล้วใช้ร่วมกับน้ำกระสายยา ทาบริเวณหน้าท้องก่อนที่จะนึ่งหม้อเกลือและประคบอิฐ (ซึ่งในตัวสมุนไพรที่มีรสร้อนนี้จะไปทำหน้าที่เพิ่มความอบอุ่นเข้าสู่ร่าง กาย และช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกิน จึงช่วยในหน้าท้องยุบตัว)

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 6 "การทาสมุนไพรรักษาผิวแตกลาย"
สุดยอดสมุนไพรจากยอดใบพลับพลึงสด ตามหลักการแพทย์แผนไทยเชื่อว่า ในใบพลับพลึงสดมีตัวยาที่ช่วยรักษาผิวแตกลาย บริเวณหน้าทอง สะโพก และต้นขาของคุณแม่ทำให้รอยแตกลายตื้นขึ้น และจางลง (ใช้ร่วมกับการทายานึ่งหน้าท้องให้ยุบ ขั้นตอนที่ 5)

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 7 "การประคบอิฐ"
เป็นการดึงน้ำที่สะสมจากร่างกายให้ระเหยออกมา โดยการผ่านความร้อนจากอิฐ เพื่อช่วยให้น้ำคาวปลาเดินสะดวก ลดอาการอักเสบของมดลูกและลดอาการบวมน้ำ อีกทั้งยังช่วยเสริมในส่วนที่เป็นแนวระนาบที่การนึ่งหม้อเกลือเข้าไปไม่ถึง เพื่อทุกส่วนของร่างกายได้ระบายน้ำส่วนเกินออกมา

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 8 "การนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ"
(ต่างจากการนวดทั่วไป) เป็นการคลายกล้ามเนื้อของคุณแม่ที่เกร็งตัวอุ้มท้องอยู่ตลอด 9 เดือน ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น สามารถนำเอาของเสียที่ตกค้างตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายออกมากับเลือด เพื่อนำไปฟอกไต เพื่อขับถ่ายออกทางปัสสาวะ และเอาสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ นอกจากนั้นการนวดยังช่วยลดอาการเส้นเลือดขอด ริดสีดวงทวาร และอาการบวม อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพอีกด้วย เหมือนโบราณว่า "เมื่อเลือดลมดี สุขภาพดี"

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 9 "การนวดหน้ากดจุดใบหน้าและนวดศีรษะ"
เป็นการนวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า กระตุ้นให้เซลล์ต่าง ๆ ใต้ผิวหนังเกิดการตื่นตัว และนวดศีรษะ คลายเครียดกล้ามเนื้อ บริเวณต้นคอ ไหล่ บ่า และฐานกะโหลก

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 10 "การนวดดึงผม"
เป็นการนวดให้รูขุมขนบริเวณศีรษะเปิดเพื่อขับของเสียออก ทั้งนี้เป็นการช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรน

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 11 "การนวดเข้าตะเกียบ"
หรือสมัยโบราณเรียกว่า การเหยียบสะโพก เป็นลักษณะการนวดเฉพาะด้าน เพื่อกระตุ้นปลายประสาทสัมผัสบริเวณสะโพกให้หดตัว กระชับสะโพกให้เข้าที่ไม่ให้ผายออกมามากเกินควร ซึ่งการนวดเข้าตะเกียบต้องทำกับผู้ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะเป็นศาสตร์ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ไม่มีในหลักสูตรการเรียนการสอน ซึ่งจะนวดตอนนวดน้ำมันและตอนนึ่งหม้อเกลือ

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 12 "การนวดสลายเซลลุไลต์"
เป็นการนวดลักษณะเฉพาะด้านบริเวณต้นแขน ต้นขา สะโพก และบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกายก่อตัวในลักษณะของผิวส้ม เพื่อกระชับกล้ามเนื้อ เป็นการนวดผสมผสานกันในระหว่างการนวดตัว

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 13 "การนั่งอิฐ/การนั่งถ่าน"
(สำหรับคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติเท่านั้น) เป็นการช่วยสมานแผลบริเวณฝีเย็บให้หายและแห้งสนิทเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งตัวสมุนไพรประกอบไปด้วยสมุนไพรและว่านต่าง ๆ หลายชนิด เช่น เหง้าว่านน้ำ เหง้าว่านนางคำ เหง้าขมิ้น เหง้าไพล มะกรูด ฯลฯ โดยจะใช้การเผาไหม้สมุนไพรให้เกิดควันอุ่น ๆ มากระทบบริเวณฝีเย็บ

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 14 "ประคบหน้าอก"
เป็นการประคบบริเวณต่อมท่อน้ำนม เพื่อกระตุ้นน้ำนมให้มามากขึ้น อีกทั้งเป็นการกระชับทรวงอกไม่ให้หย่อนคล้อยหลังการหย่านมบุตร

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 15 "การประคบตัวด้วยสมุนไพรสด"
ประคบตามบริเวณกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อลดอาการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อจากการอุ้มท้อง ซึ่งประกอบด้วยสมุนไพรสดกว่า 15 ชนิด

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 16 "การรมตาเป็นการอังดวงตา"
ด้วยสมุนไพรก่อนเข้ากระโจมอบสมุนไพรซึ่งตัวสมุนไพรจะช่วยบำรุงสายตาและระบบ ประสาทส่วนบน ช่วยให้ดวงตาสดใสยืดอายุการใช้งานของดวงตา ลดอาการตาพร่ามัว และช่วยลดอาการตาฝ้าฟางได้ในยามที่เราอายุมากขึ้น เนื่องจากมีส่วนประกอบสำคัญของผักบุ้งสด

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 17 "การเข้ากระโจมอบตัวด้วยสมุนไพรสด"
เป็นการขับของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อ ไอความร้อนของสมุนไพรจะช่วยให้รูขุมขนเปิด ปอดและหลอดเลือดฝอยจะขยายตัว การหายใจจะสะดวกขึ้น การไหลเวียนโลหิตจะดีขึ้น กล้ามเนื้อจะผ่อนคลายและไขมันที่สะสมไว้ขระตั้งครรภ์ก็จะลดลงด้วย อีกทั้งยังเป็นการกะตุ้นน้ำนมให้มามากขึ้นอีกด้วย

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 18 "การขัดคราบไครและรอยด่างดำให้จางลง"
เป็นการขัดตามซอกคอ ซอกรักแร้ ขาหนีบ ฯลฯ อันเกิดจากฮอร์โมนของร่างกายในระหว่างตั้งครรภ์ การขัดจะช่วยให้คราบเหล่านั้นหลุดลอกได้เร็วกว่าการที่จะรอให้กลไกของร่าง กายเป็นตัวขับเอง

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 19 "การขัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป"
เป็นการช่วยผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ได้เกิดมาแทนที่ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาสิวเรื้อรังและไขมันอุดตันบริเวณแผ่น หลังและหน้าอก ซึ่งสมุนไพรที่ใช้เป็นสมุนไพรสดผสมด้วยเกลือสะตุ (เกลือสะตุคือ เกลือทะเลที่นำมาเผาไฟให้เหลือเฉพาะโครงสร้างของเกลือ) จึงมีสรรพคุณในการขัดคราบไขและหนังกำพร้าที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปได้ ในสมัยโบราณนิยมนำมาเข้าตัวยาเพื่อล้างคราบไขมันในกระเพาะอาหารและลำไส้ ร่วมกับการขัดคราบไคลในขั้นตอนที่ 18

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 20 "การทำความสะอาดผิวและล้างผิวด้วยน้ำสมุนไพร"
เป็นการทำความสะอาดผิวหลังจากคุณแม่อบสมุนไพรเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการเปิดรูขุมขนอีกครั้งเพื่อเตรียมเข้าสุ่ขั้นตอนการนวดตัว ด้วยน้ำมันงาดิบบริสุทธิ์

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 21 "การขัดผิวด้วยสมุนไพรล้างพิษ (Detox) จากธรรมชาติ"
สมุนไพรหลากหลายชนิดผสมกาแฟ กาเฟอีนเป็นสารที่ช่วยในเรื่องของการไหลเวียนโลหิต และทำให้ผิวกระชับ ดูเปล่งปลั่ง อีกทั้งกาแฟอีนยังไปกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย และกระตุ้นกระบวนการขับของเสียออกจากร่างกายทำให้ผิวสะอาด มีกลิ่นหอมจากสมุนไพร ช่วยผ่อนคลายยความเครียด กระตุ้นให้เกิดความกระปรี้กระเปร่า

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 22 "การนวดตัวด้วยน้ำมันงาดิบบริสุทธิ์"
เป็นการนวดคลายกล้ามเนื้อกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ทั้งนี้ยังช่วยขับของเสียที่ตกค้างภายในให้ออกสู่นอกร่างกาย ช่วยลดอาการเส้นเลือดขอด อาการบวมตามตำราอายุรเวท น้ำมันงาดิบบริสุทธิ์ ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ เนื้อเยื่อ เส้นประสาทและกระดูก อีกทั้งเป็นน้ำมันชนิดเดียวเท่านั้นที่สามารถซึมสู่ผิวหนังได้ทุกชั้น จึงสามารถลดริ้วรอยจาภายในสู่ภายนอกจากการแตกลายของหน้าท้องได้ และเป็นน้ำมันที่มีวิตามินอีสูงมาก จึงช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 23 "การประคบก้อนเส้า"
เป็นประเพณีการอยู่ไฟของชาวไทยภาคอีสาน ซึ่งใช้ก้อนเส้าในการดูดซับของเสียออกจากร่างกาย โดยก้อนเส้าจะเป็นตัวกลางในการดูดซับของเสีย อีกทั้งความร้อนอุ่น ๆ จากก้อนเส้าจะช่วยผ่อนคลายอาการแข็งเกร็งของจุดศูนย์รวมประสาทในร่างกายให้ คลายตัวลง (ก้อนเส้าเกิดจากการรวมตัวของแร่ในธรรมชาติ ที่มีสรรพคุณในการผ่อนคลาย)

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 24 "การกล่อมมดลูก"
เป็นการช้อนให้มดลูกเข้าอู่ แล้วคลึงที่หัวเหน่าให้ปากมดลูกหดเข้าที่ ซึ่งขณะทำจะมีน้ำคาวปลาทะลักออกมา ทำให้คุณแม่รู้สึกสบาย อีกทั้งยังเป็นการป้องกันการตกเลือดและกระเพาะปัสสาวะครากได้ด้วย

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 25 "การคาดไฟชุดตำรับหลวง"
ช่วยแก้อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว แก้อาการหนาวสะท้าน แก้อาการตะคริว อีกทั้งเมื่อใช้อย่างต่อเนื่องยังสามารถช่วยลดหน้าท้องได้อย่างถาวรอีกด้วย (ขณะใช้ไฟชุดสามารถปฏิบัติภารกิจประจำวันได้ด้วย)

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 26 "นวดกดจุดแนวกำดัน"
เป็นการนวดเปิดระบบประส่วนบนให้มีการขยายตัวของหลอดเลือด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตให้เดินสะดวกและรักษาอุณหภูมิในร่างกาย

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 27 "การนวดกระตุ้นต่อมน้ำเหลือง"
เป็นการนวดกระตุ้นให้ต่อมน้ำเหลืองทำงานปกติ และในทางอ้อมยังช่วยให้น้ำนมมามากขึ้นด้วย

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 28 "การนวดฝ่าเท้า"
เนื่องจากจุดศูนย์รวมประสาทในร่างกายทุกจุดอยู่ที่ฝ่าเท้า ดังนั้นการนวดเพื่อคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายที่แข็งเกร็งจาการตั้ง ครรภ์ และช่วยให้ระบบน้ำเหลือง รวมถึงอวัยวะภายในทำงานได้ปกติ

การอยู่ไฟ ขั้นตอนที่ 29 "การดื่มน้ำสมุนไพรขิง"
ช่วยปรับสภาพสมดุลของร่างกายให้กลับสู่สภาวะปกติ กระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตให้เดินสะดวก ช่วยบำรุงน้ำนมและรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้กลับสู่สภาวะปกติ หากคุณแม่ท่านใดต้องการดื่มน้ำสมุนไพรอื่นใดเพิ่มเติม ควรจะศึกษาให้แน่ใจว่าปราศจากแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์สามารถฟซึมผ่านทางนมได้ หากทานเข้าไปอาจมีผลต่อการสร้างเซลล์สมองของเด็ก และอาจเกิดภาวะตัวเหลืองได้ในเด็กแรกเกิด ส่วนการดื่มน้ำสมุนไพรว่านชักมดลุก ควรจะทานในช่วงมีสภาพร่างกายแข็งแรงเพียงพอเพราะหากทานในขณะมดลุกอักเสบอาจ จะตกเลือดได้ เนื่องจากว่านชักมดลุกจะไปทำหน้าที่บีบรัดมดลุก และอาจเกิดอาการปวดร้าวบริเวณท้องน้อยได้ หากต้องการรับประทานควรอยู่ในความคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

ที่ีมา: สะกีนะฮ์ คลินิกการแพทย์แผนไทย

สาเหตุของการเกิดนี่วและวิธีลดปัจจัยเสี่ยง

     นิ่วในไต คือ การมีสารก่อนิ่วในปัสสาวะสูงกว่าระดับสารยับยั้งนิ่ว ร่วมกับปัจจัยเสริมคือ ปริมาตรของปัสสาวะน้อย ส่งผลให้เกิดภาวะอิ่มตัวยวดยิ่งของสารก่อนิ่วในปัสสาวะ จึงเกิดผลึกที่ไม่ละลายน้ำขึ้น เช่น แคลเซี่ยมออกซาเลต แคลเซี่ยมฟอสเฟต และยูเรต ผลึกนิ่วที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชั่นและการอักเสบ ในท่อไต ส่งผลให้เซลล์บุท่อไตถูกทำลาย ตำแหน่งที่ท่อไตถูกทำลายนี้จะเป็นพื้นที่ให้ผลึกนิ่วเกาะยึดและรวมกลุ่มกัน เกิดการทับถมของผลึกนิ่วเป็นเวลานานจนกลายเป็นก้อนนิ่วได้ในที่สุด

     ในคนปกติที่มีสารยับยั้งนิ่วในปัสสาวะสูงเพียงพอ จะสามารถยับยั้งการก่อตัวของผลึกนิ่วได้ โดยสารเหล่านี้จะไปแย่งจับกับสารก่อนิ่ว เช่น ซิเทรตจับกับแคลเซียม หรือแมกนีเซียมจับกับออกซาเลต ทำให้เกิดเป็นสารที่ละลายน้ำได้ดี และขับออกไปพร้อมกับน้ำปัสสาวะ ทำให้ปริมาณสารก่อนิ่วในปัสสาวะลดลงและไม่สามารถรวมตัวกันเป็นผลึกนิ่วได้ นอกจากสารยับยั้งนิ่วกลุ่มนี้แล้วโปรตีนในปัสสาวะหลายชนิด เช่น โปรตีนแทมฮอสฟอล และออสทีโอพอนติน ยังหน้าที่ป้องกันการก่อผลึกในปัสสาวะและเมื่อเคลือบที่ผิวผลึกจะช่วยขับ ผลึกออกไปพร้อมกับปัสสาวะได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันมีหลายงานวิจัยระบุว่าความผิดปกติของการสังเคราะห์และการทำงานของ โปรตีนยับยั้งนิ่วเหล่านี้ เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคนิ่วไต

อาการของโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ
      อาการของโรคนิ่วนั้นเกิดจากการที่มีก้อนนิ่วไปอุดตันตามที่ต่างๆ ในทางเดินปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะขัดกระปริกระปรอย หากเป็นในระยะแรกร่างกายอาจขับก้อนนิ่วออกมาได้เองทางปัสสาวะ ซึ่งจะพบตะกอนเหมือนก้อนกรวดเล็กๆ ปนออกมาพร้อมกับปัสสาวะ แต่ถ้าก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้นจะมีการอุดตันที่มากขึ้น มีการเสียดสีและทำให้เกิดการบาดเจ็บมีเลือดออก ส่งผลให้ปัสสาวะมีสีแดงขึ้นจากเลือดหรือบางกรณีมีสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ เนื่องจากมีเนื้อบางส่วนหลุดลอกออกมาด้วย การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นทำให้มีอาการปวดท้อง ปวดหลังขึ้นได้ ในกรณีที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อนจะมีอาการไข้ร่วมด้วย หากปล่อยให้เป็นนิ่วไปนานๆ โดยมิได้รับการรักษาจะทำให้ไตบาดเจ็บเรื้อรัง ส่งผลให้ไตมีรูปร่างและทำงานผิดปกติมากขึ้นและนำไปสู่ภาวะไตวายในที่สุด ซึ่งพบว่ามีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้นการรักษาโดยการผ่าตัดออกจะทำให้เสียเนื้อไตไป บางส่วนด้วย หรือหากเป็นมากๆ อาจต้องตัดไตข้างนั้นทิ้ง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี

     สาเหตุของการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะนั้น ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่นอน แต่เชื่อว่า สภาวะต่อไปนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ จากการศึกษาทาง ระบาดวิทยา พบว่าสาเหตุที่เกี่ยวข้องนั้นเกี่ยวข้องกับสาเหตุภายในร่างกายของผู้ป่วยเอง และ สภาพแวดล้อมตัวผู้ป่วย

     ก.สาเหตุความผิดปกติที่เกี่ยวกับภายในตัวผู้ป่วยเอง
        1.กรรมพันธุ์ ผู้ป่วยที่พ่อแม่เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนิ่วเช่นเดียวกันได้

        2.อายุและเพศ  นิ่วในไต พบใน ชายมากกว่าหญิงถึง 2 ต่อ1 พบมากในผู้ใหญ่มากกว่าเด็กนิ่วในกระเพาะปัสสาวะพบมากในชายมากกว่าหญิงถึง 7 ต่อ 1 พบมากในเด็กชายอายุน้อยกว่า 7 ปี และในผู้ใหญ่ในช่วงอายุมากกว่า 30 ปี ขึ้นไป

       3.ความผิดปกติในการทำงานของต่อม พาราไทรอยด์ ซึ่งหลั่ง hormone ที่ควบคุมสาร calciumออกมามากกว่าปกติ

       4.มีการตีบแคบของระบบทางเดินปัสสาวะทำให้น้ำปัสสาวะคั่งค้าง การตีบแคบนี้อาจมีมาแต่กำเนิด หรือ เกิดขึ้นภายหลัง

        5.ความเข้มข้นของน้ำปัสสาวะอันเกิดจากมีสารต่างๆถูกขับออกมาในน้ำปัสสาวะมากกว่าปกติ หรือเกิดผู้ป่วยดื่มน้ำน้อยกว่าปกติ หรือ สูญเสียน้ำจากร่างกายทางด้านอื่นมาก เมื่อน้ำปัสสาวะมีความเข้มข้นสูง โอกาสที่สารละลายในน้ำปัสสาวะจะตกผลึก ก็มีมากขึ้น

        6.ความเป็นกรด/ด่างของน้ำปัสสาวะ ปัสสาวะที่มีฤทธิ์เป็นกรดมากจะเกิดการตกผลึกของ กรด ยูริค,ซีสตีน, ส่วนปัสสาวะที่มีฤทธิ์เป็นด่าง จะเกิดการตกตะกอนของผลึกสารจำพวก Oxalate,Phosphate และ Carbonate

        7.การอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

        8.วัตถุแปลกปลอมที่หลุดเข้าไปในทางเดินปัสสาวะ

        9.ยาบางอย่างทำให้เกิดนิ่วได้ ยาลดกรดที่กินอยู่เป็นเวลานานๆ ทำให้ปัสสาวะมีฤทธิ์เป็นด่าง จะเกิดนิ่วพวก Phosphate ได้ง่าย

     ข.สาเหตุร่วมที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมตัวผู้ป่วย

       1.สภาพภูมิศาสตร์ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะมักอยู่ในบริเวณที่ราบสูง ประเทศไทยเรา พบมากในภาคอิสานและเหนือ

       2.สภาวะอากาศและฤดูกาล ในฤดูร้อนจะพบว่าผป.เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะมา รพ.กันมาก อาจเนื่องจากเสียเหงื่อมากทำให้ปัสสาวะเข้มข้นทำให้นิ่วโตเร็วขึ้นจึงเกิด อาการขึ้น แต่ในฤดูหนาวเสียเหงื่อน้อย ปัสสาวะเจือจาง และ ปัสสาวะมีจำนวนมาก

      3.ปริมาณน้ำดื่ม ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเข้มข้นของน้ำปัสสาวะ ถ้าดื่มน้ำน้อย และยังอาจเกี่ยวกับ เกลือแร่ที่ละลายอยู่ในน้ำของแต่ละท้องถิ่น

      4.สภาพโภชนาการการบริโภคอาหารนานาชนิด และการดื่มน้ำเป็นผลให้มีการเพิ่ม/ลดของสารต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของก้อนนิ่ว เช่น การกินอาหารเครื่องในสัตว์,ยอดผัก,สาหร่าย, จะทำให้เกิดกรดยูริคได้การกินอาหารจำพวกผักที่มีสาร ออกซาเลทสูง เช่น ผักโขม,ผักแผว, หน่อไม้,ชะพลู ก็จะมีโอกาสเกิดนิ่ว พวกออกซาเลท เด็กเล็กที่ขาดอาหารพวกโปรตีนจะเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะมากการขาด วิตามิน เอ หรือ ได้รับ วิตามินดี มากเกินไป ก็ทำให้เกิดนิ่วได้

     5.อาชีพ ผู้มีอาชีพเกษตรกร ทำงานกลางแจ้ง ก็จะมีการเสียเหงื่อมาก ทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้น ก็อาจเกิดการตกผลึก ของสารละลายในน้ำ ปัสสาวะเกิดนิ่วขึ้นได้ผู้ที่มีรายได้ต่ำ ก็จะบริโภคอาหารแป้งและผักมากโปรตีนน้อย ทำให้เกิดนิ่วจำพวกออกซาเลทได้ง่ายผิดกันกับผู้ที่มีรายได้สูงมีการบริโภค อาหาร โปรตีน ,ไขมันมากกว่าปกติ ทำให้เกิด เป็นนิ่วพวกกรดยูริค และ นิ่วแคลเซี่ยมสูง
๕ อ.ของการเกิดโรคค่ะ

สาเหตุของการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะนั้น ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่นอน แต่เชื่อว่า สภาวะต่อไปนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ จากการศึกษาทาง  ระบาดวิทยา พบว่าสาเหตุที่เกี่ยวข้องนั้นเกี่ยวข้องกับสาเหตุภายในร่างกายของผู้ป่วยเองและ สภาพแวดล้อมตัวผู้ป่วย
ก.สาเหตุความผิดปกติที่เกี่ยวกับภายในตัวผู้ป่วยเอง

1.กรรมพันธ์ ผป.ที่พ่อแม่เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนิ่วเช่นเดียวกันได้

2.อายุและเพศ 
นิ่วในไต พบใน ชายมากกว่าหญิงถึง 2 ต่อ1 พบมากในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก
นิ่วในกระเพาะปัสสาวะพบมากในชายมากกว่าหญิงถึง 7 ต่อ 1
พบมากในเด็กชายอายุน้อยกว่า 7 ปี และในผู้ใหญ่ในช่วงอายุมากกว่า 30 ปี ขึ้นไป

3.ความผิดปกติในการทำงานของต่อม พาราทัยรอยด์ 
ซึ่งหลั่ง hormone ที่ควบคุมสาร calciumออกมามากกว่าปกติ

4.มีการตีบแคบของระบบทางเดินปัสสาวะ
ทำให้น้ำปัสสาวะคั่งค้าง การตีบแคบนี้อาจมีมาแต่กำเนิด หรือ เกิดขึ้นภายหลัง

5.ความเข้มข้นของน้ำปัสสาวะ
อันเกิดจากมีสารต่างๆถูกขับออกมาในน้ำปัสสาวะมากกว่าปกติ หรือเกิดผู้ป่วยดื่มน้ำน้อยกว่าปกติ หรือ สูญเสียน้ำจากร่างกายทางด้านอื่นมาก เมื่อน้ำปัสสาวะมีความเข้มข้นสูง โอกาสที่สารละลายในน้ำปัสสาวะจะตกผลึก ก็มีมากขึ้น

6.ความเป็นกรด/ด่างของน้ำปัสสาวะ ปัสสาวะที่มีฤทธิ์เป็นกรดมากจะเกิดการตกผลึกของ กรด ยูริค,ซีสตีน, ส่วนปัสสาวะที่มีฤทธิ์เป็นด่าง จะเกิดการตกตะกอนของผลึกสารจำพวก Oxalate,Phosphate และ Carbonate

7.การอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

8.วัตถุแปลกปลอมที่หลุดเข้าไปในทางเดินปัสสาวะ

9.ยาบางอย่าง
ทำให้เกิดนิ่วได้ ยาลดกรดที่กินอยู่เป็นเวลานานๆ ทำให้ปัสสาวะมีฤทธิ์เป็นด่าง จะเกิดนิ่วพวก Phosphate ได้ง่าย

ข.สาเหตุร่วมที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมตัวผู้ป่วย

1.สภาพภูมิศาสตร์
ผู้ป่วยที่เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะมักอยู่ในบริเวณที่ราบสูง ประเทศไทยเรา พบมากในภาคอิสานและเหนือ

2.สภาวะอากาศและฤดูกาล
ในฤดูร้อนจะพบว่าผป.เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะมา รพ.กันมาก อาจเนื่องจากเสียเหงื่อมากทำให้ปัสสาวะเข้มข้นทำให้นิ่วโตเร็วขึ้นจึงเกิดอาการขึ้น แต่ในฤดูหนาวเสียเหงื่อน้อย ปัสสาวะเจือจาง และ ปัสสาวะมีจำนวนมาก

3.ปริมาณน้ำดื่ม
ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเข้มข้นของน้ำปัสสาวะ ถ้าดื่มน้ำน้อย และยังอาจเกี่ยวกับ เกลือแร่ที่ละลายอยู่ในน้ำของแต่ละท้องถิ่น

4.สภาพโภชนาการ
การบริโภคอาหารนานาชนิด และการดื่มน้ำเป็นผลให้มีการเพิ่ม/ลดของสารต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของก้อนนิ่ว เช่น การกินอาหารเครื่องในสัตว์,ยอดผัก,สาหร่าย, จะทำให้เกิดกรดยูริคได้
การกินอาหารจำพวกผักที่มีสาร ออกซาเลทสูง เช่น ผักโขม,ผักแผว, หน่อไม้,ชะพลู ก็จะมีโอกาสเกิดนิ่ว พวกออกซาเลท เด็กเล็กที่ขาดอาหารพวกโปรตีนจะเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะมาก
การขาด วิตามิน เอ หรือ ได้รับ วิตามินดี มากเกินไป ก็ทำให้เกิดนิ่วได้

5.อาชีพ
ผู้มีอาชีพเกษตรกร ทำงานกลางแจ้ง ก็จะมีการเสียเหงื่อมาก ทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้น ก็อาจเกิดการตกผลึก ของสารละลายในน้ำ ปัสสาวะเกิดนิ่วขึ้นได้
ผู้ที่มีรายได้ต่ำ ก็จะบริโภคอาหารแป้งและผักมากโปรตีนน้อย ทำให้เกิดนิ่วจำพวกออกซาเลทได้ง่าย
ผิดกันกับผู้ที่มีรายได้สูงมีการบริโภค อาหาร โปรตีน ,ไขมันมากกว่าปกติ ทำให้เกิด เป็นนิ่วพวกกรดยูริค และ นิ่วแคลเซี่ยมสูง

     
     การที่ผู้ป่วยดูแลตนเองทั้งร่างกาย จิตใจ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างเคร่งครัดจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของ การเกิดนี่ว ทำให้ไม่มีโรคนี่วหรือเป็นซ้ำน้อยลง สามารถปฏิบัติได้ดังนี้ค่ะ

      1. ควรดื่มน้ำปริมาณมาก ในแต่ละวันควรดื่มน้ำให้ได้มากกว่า 8 แก้วต่อวัน หรือให้ได้ปริมาตรของปัสสาวะมากกว่า 2 ลิตรต่อวัน เพื่อลดความอิ่มตัวของสารก่อนิ่วในปัสสาวะ และลดโอกาสการก่อผลึกนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ

      2. บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วนและสัดส่วนเหมาะสม

        2.1 อาหารจำพวกผักและผลไม้ เป็นแหล่งของสารยับยั้งการเกิดนิ่ว และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ช่วยให้ปริมาณของซิเทรต โพแทสเซียม และความเป็นกรด-ด่างของปัสสาวะเพิ่มสูงขึ้น และยังลดการทำลายของเซลล์เยื่อบุท่อไต จึงสามารถยับยั้งการเกิดนิ่วได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ผักผลไม้ยังมีไฟเบอร์ช่วยลดแคลเซียมในปัสสาวะและยังช่วยลดไขมันใน เลือดได้อีกด้วย

       2.2 ไขมันจากพืชและไขมันจากปลา สามารถลดปริมาณแคลเซียมในปัสสาวะได้ดีกว่าไขมันที่ได้จากเนื้อสัตว์อื่นๆ ลดโอกาสการเกิดนิ่วซ้ำ

       2.3. ลดอาหารที่มีเนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ อาหารหวานและเค็มมาก และอาหารที่มีกรดยูริกสูง ได้แก่ หนังสัตว์ปีก ตับ ไต ปลาซาร์ดีน โดยปกติในผู้ใหญ่ไม่ควรได้รับโปรตีนจากสัตว์เกิน 150 กรัมต่อวัน การบริโภคอาหารโปรตีนสูงจะทำให้เพิ่มสารก่อนิ่วและเพิ่มโอกาสการเกิดนิ่วสูง มาก

       2.4 หลีกเลี่ยงอาหารที่มีออกซาเลตสูง ได้แก่ งา ผักโขม ถั่วต่างๆ เช่นถั่วลิสง ชอกโกแลต และชา เป็นต้น ในผู้ป่วยชนิดแคลเซียมออกซาเลต หากจำเป็นต้องบริโภคควรรับประทานควบคู่ไปกับแคลเซียมหรือดื่มนมจะช่วยลด ปริมาณออกซาเลตในปัสสาวะ

       2.5 เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ปัจจุบันพบว่าการลดอาหารที่มีแคลเซียมในผู้ป่วยโรคนิ่ว นอกจากจะทำให้สมดุลของแคลเซียมเปลี่ยนแปลง ยังเพิ่มปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกในอนาคตและยังทำให้ปริมาณสารออกซาเลตใน ปัสสาวะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากแคลเซียมจะไปจับและยับยั้งการดูดซึมออกซาเลตทางลำไส้จึงช่วยลด ระดับออกซาเลตในปัสสาวะได้ ภาวะปกติร่างกายควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1000 มิลลิกรัมต่อวัน

      3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิคเป็นเวลาอย่างน้อย 10-20 นาทีทุกวัน เช่น การเดินจะช่วยทำให้นิ่วขนาดเล็กหลุดได้ การเดินสมาธิ โยคะ ไทเก๊ก ทำให้การทำงานของร่างกายดีขึ้นและลดความเครียด และลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดก้อนนิ่ว

นอกเหนือจากการเลือกรับประทานอาหารและการออกกำลังกายแล้ว การเลือกรับประทานยาหรืออาหารเสริมบางชนิด ร่วมกับการลดความเครียดสามารถช่วยป้องกันการเกิดนิ่วไตซ้ำได้

อาหารเสริม วิตามิน กินอะไรช่วยหยุดนิ่วในไต

      ในทางการแพทย์มีการใช้ยาหลากหลายเพื่อรักษาโรคนิ่ว อย่างไรก็ตามยาเหล่านี้ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอและมีผลข้างเคียง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะลดโอกาสการเกิดนิ่ว คือการควบคุมอาหารดังที่กล่าวข้างต้น มีข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคนิ่ว ดังต่อไปนี้

      1. การดื่มน้ำมะนาวหรือน้ำมะนาวเข้มข้น เป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระและซิเทรตที่ดีมาก สามารถยับยั้งการก่อนิ่วและลดการบาดเจ็บของเซลล์บุท่อไตได้ดี

     2. ควบคุมน้ำหนักในผู้ป่วยให้มีดัชนีมวลกาย (body mass index, BMI) อยู่ในระดับปกติ โดยให้มีค่าอยู่ระหว่าง 20 – 23.5 kg/m2

     3. ผู้ที่มีภาวะออกซาเลตในปัสสาวะสูง ควรได้รับ แมกนีเซียมและวิตามินบี 6 เสริม เพื่อช่วยลดการสร้างของออกซาเลตในตับ

     4.ไม่ควรรับประทานวิตามินซีมากกว่า 500 มก.ต่อ วัน เพราะจะไปเพิ่มออกซาเลตในปัสสาวะและเพิ่มปัจจัยเสี่ยงของการเกิดนิ่ว

     5. การคลายเครียดด้วยการบริหารร่างกาย แบบโยคะ หรือใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อลดความเครียด เช่น การสร้างจินตภาพ เพื่อผ่อนคลายส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงงดสูบบุหรี่ จะช่วยลดความเครียดของร่างกายที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์บุท่อไต

     6. หลังออกกำลังกาย หรือทำงานหนักในที่มีอากาศร้อน สูญเสียเหงื่อมาก จะต้องดื่มน้ำชดเชยให้เพียงพอ หรือควรดื่มน้ำเป็นประจำตลอดทั้งวันประมาณ 2 ลิตรต่อวัน เพื่อลดการอิ่มตัวของสารก่อนิ่วและการตกผลึกในปัสสาวะ

การป้องกันมิให้เป็นนิ่วซ้ำอีก

      มีวิธีง่าย ๆ คือ ควรรู้จักหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นต้นเหตุของการเกิดนิ่ว โดยมีหลักดังนี้
      1. นิ่วชนิดแคลเซียมออกซาเลต ควรลดอาหารที่มีปริมาณแคลเซียม และออกซาเลตสูงพร้อม ๆ กัน และลดอาหารเค็มจัดหรือวิตามินซีเกินความจำเป็น (ปกติร่างกายต้องการวิตามิน ซี วันละ 400-500 มิลลิกรัม ไม่ควรให้เกินวันละ 1 กรัม เพราะวิตามิน ซี ทำให้มีการดูดซึมของแคลเซียมและมีการสร้างออกซาเลตสูง)

      2. นิ่วชนิดกรดยูริกและเกลือยูริก โดยเฉพาอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีกรดยูริกในเลือดสูง หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์ ควรเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เพราะตับจะเปลี่ยนสารนี้ ให้เป็นกรดยูริก และขับออกทางปัสสาวะ จึงควรงดอาหารที่มีพิวรีนสูง และไม่ควรกินอาหารที่มีพิวรีนปานกลางมากเกินไป

ที่มา:  หมอสะกีนะฮฺ แพทย์แผนตะวันออก

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การรักษามะเร็งในแง่ของธรรมชาติบำบัด



 


มีหลักการดังนี้ คือ
1. ควบคุมก้อนมะเร็งให้หยุดโตหรือให้เล็กลง
2. เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย
3. ป้องกันไม่ให้มะเร็งแพร่กระจาย

หลักการทั้งสามมีรายละเอียดดังนี้
1. ทำอย่างไรให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลง
ซึ่งหากไม่ต้องการผ่าตัดเคมีบำบัด หรือการฉายรังสี อาจจะอาศัยการควบคุมอาหารเพื่อให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลงก็ย่อมกระทำได้
การควบคุมปริมาณโปรตีนให้เพียงพอแก่ความจำเป็นพื้นฐานของร่างกาย โดยให้กินวันละเพียง 28 - 33 กรัมต่อวัน และไขมันให้กินวันละเพียง 3 กรัม จะเพียงพอ ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่ดี สามารถสร้างเอนไซด์ ฮอร์โมน และมีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ตามปกติ แต่ปริมาณโปรตีนและไขมันเพียงเท่านี้จะไม่พอสำหรับทำให้ก้อนมะเร็งโตขึ้น มะเร็งที่ไม่โตขึ้นก็จะไม่สามารถทำอันตรายเซลล์ร่างกายได้โดยมีการจำกัดอาหารกลุ่มนี้เพียงระยะสั้น รอให้ร่างกายฟื้นสภาพของภูมิต้านทานคืนมา

2.เพิ่มภูมิต้านทาน
เพื่อทำให้เม็ดเลือดขาวมีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยการใช้ผักสดและผลไม้สดปริมาณมาก ส่วนหนึ่งกินแบบสด ๆ เป็นจาน ๆ และอีกส่วนหนึ่งอาศัยการคั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม เพื่อทิ้งกากซึ่งเป็นวิธีทำให้ร่างกายได้สารอาหาร นอกจากจะอาศัยผักสดและผลไม้สดปริมาณมากแล้ว การเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายยังสามารถทำได้โดย :
- ใช้ความร้อนเพื่อกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวโดยการอาบแดด อบสมุนไพรซาวน่า
- ออกกำลังแบบแอคโรบิคทุกวัน สม่ำเสมอ โดยใช้ความแรงที่ 60% ของความสามารถสูงสุดของหัวใจ เป็นเวลานาน 20 - 30 นาที เช่น การเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิค แล้วแต่ความสามารถของผู้ป่วยในขณะนั้น
- ทำสมาธิแบบอานาปานสติ ฝึกโยคะ ชี่กง ฤาษีดัดตน ซึ่งเป็นการออกกำลังกายแบบตะวันออกที่มีการเคลื่อนไหวประสานกับลมหายใจอาศัยลมหายใจเข้าออกทำให้ใจสงบลง
- การใช้วิตามินและอาหารเสริมกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว
- การใช้สมุนไพรในการกระตุ้นภูมิต้านทาน

ทั้งหมดนี้ต้องถือปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน จึงจะสามารถฟื้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้กลับมามีประสิทธิภาพดังเดิม

3. ป้องกันการแพร่กระจายของมะเร็ง
ส่วนหนึ่งโดยการใช้ผักสด และผลไม้สดปริมาณมาก เพื่อรับเอาวิตามินซีสูง ๆ เข้าไปป้องกันการหลุดลอกตัวของเซลล์มะเร็งออกจากก้อน เนื่องจากเอนไซม์ไฮยาลูโรดิเมล์จากก้อนมะเร็ง ที่ทำหน้าที่สลายเซลล์มะเร็งให้หลุดออกจากกัน จะไม่ทำงานหากมีวิตามินซีปริมาณสูง การกินวิตามินซีปริมาณสูงเท่ากับเป็นการสกัดกั้นการแพร่กระจายของก้อนมะเร็ง นอกจากนี้กระบวนการเพิ่มภูมิต้านทาน เพื่อทำให้เม็ดเลือดขาวมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็เป็นการป้องกันการแพร่กระจายของมะเร็งไปในตัว

หลักการทั้งสามประการนี้ กระบวนการเพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกายเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดในการรักษา เนื่องจากการป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งมีโอกาสโตขึ้นมากอีก หากผ่าตัดฉายรังสี หรือรักษาด้วยเคมีบำบัดไปแล้วก็สมควรฟื้นภูมิต้านทานให้เม็ดเลือดขาวมาควบคุมเซลล์มะเร็งด้วยตัวของมันเอง จึงจะได้ผลในการรักษาดีกว่า และเนื่องจากอาหารและวิถีชีวิตเป็นตัวกำหนดภูมิต้านทาน การรักษามะเร็งจะได้ผลสมควรต้องมีการเปลี่ยนอาหาร การปรับชีวิตความเป็นอยู่เป็นสำคัญ

สรุปวิธีธรรมชาติในบำบัดมะเร็งที่ง่ายที่สุดได้ผลและ ประหยัดสุด ใช้ได้ทั้งการการป้องกันและบำบัด

1. ปรับตัวให้คืนสู่ธรรมชาติมากที่สุด และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เพื่อลดสารพิษที่มาจากภายนอกและภายใน

2. ออกกำลังกาย 20-30 นาที ทุกวัน ทำตัวให้สบาย ไม่เร่งรีบ หลีกเลี่ยงความเครียด การออกกำลังกายจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระช่วยเสริมภูมิร่างกายต้านมะเร็ง มีผลวิจัยออกมาว่าช่วยป้องกันมะเร็งได้ 25 %

3. ตื่นให้เช้ากว่าที่เคยตื่น ทานน้ำอุ่น 3- 5 แก้ว ให้ขับถ่ายอุจจาระออกมา เพื่อไม่ให้เพิ่มภาระสารพิษตกค้างในร่างกาย ระหว่างวันให้ทานน้ำให้มากเพียงพออย่างน้อย 8-12 แก้ว

4. งดอาหารเค็ม หมักดอง อาหารปิ้ง ทอด ย่าง งดอาหารรสจัด ทานเนื้อสัตว์ ไขมัน ให้น้อยที่สุด ควรทานโปรตีนจากพืช เช่น ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าหากทานอาหารปกติไม่ได้หรือทานแล้วอาเจียน ให้ทานข้าวกล้องชงสำเร็จรูป ชงทานแทนอาหารปกติ จะทำให้คนไข้ไม่ขาดสารอาหาร ทำให้มีแรงในการเดินเหินไปมาได้สะดวก ภูมิต้านทานในร่างกายจะดีขึ้น

5. ทานผัก ผลไม้ให้มากๆ เพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระมาต้านมะเร็ง แต่ผัก ผลไม้ปัจจุบันก็ปนเปื้อนยาฆ่าแมลงจำนวนมาก ทำให้ร่างกายเป็นภาระต้องกำจัดออกไป และผู้ป่วยเองก็ไม่สามารถทานผักผลไม้ได้มากเพียงพอในการจะได้สารต้านอนุมูลอิสระมาต้านมะเร็งได้ ดังนั้นหากไม่สามารถทานผัก ผลไม้ ได้มากพอ ให้ทานอาหารเสริม ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของมะเร็ง เช่น น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น สารสกัดจากมังคุด น้ำสมุนไพร เป็นต้น โดยเฉพาะน้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น ได้ชื่อว่าเป็น super antioxidant มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าวิตามินซี 20 เท่า และมากกว่าวิตามินอี 50 เท่า มีผลงานวิจัยรองรับกว่า 12,000 เรื่องมีการค้นคว้ามากว่า 20 ปี

เดี่ยวนี้ราคาถูกลงมากเนื่องจากมีผู้นิยมทานมากขึ้น นอกจากจะช่วยป้องกันยับยั้งมะเร็ง แล้ว ยังได้ประโยชน์ต่างๆอีกมาก เช่น ป้องกันโรคหัวใจ เสริมภูมิร่างกาย ลดความดันโลหิตสูง ช่วยลดภูมิแพ้ ช่วยเรื่องผิวพรรณ ลดการอักเสบ สิว ฝ้า ตกกระ เป็นต้น ข้อดีของการทานน้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็นก็คือ สามารถคุมปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระได้แน่นอน ต่างกับการทานผักผลไม้ทั่วไปนั้น จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ทานผักหรือผลไม้เท่าไร จึงจะเพียงพอ มีนักโภชนาการได้พยายามทำเมนูอาหารสุขภาพผัก ผลไม้ขึ้นมา แต่มันยุ่งยากในแง่ปฏิบัติมาก พอมาคำนวณค่าผักผลไม้ตามเมนูสุขภาพแล้วแพงกว่า น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็นมา

6.ให้ผู้ป่วยทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกวัน หากไม่สะดวก ให้พาไปถวายสังฆทานที่วัดที่สะดวกทุกอาทิตย์ ก็จะทำให้จิตใจผู้ป่วยสบายขึ้น จิตอิ่มเอิบ เกิดปิติมีผลต่อร่างกายทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ในการยั้บยั้งเซลมะเร็ง ซึ่งช่วยให้ภูมิต้านทานร่างกายดีขึ้น มีผู้ป่วยมะเร็งระยะ-3-4 หลายคนที่สามารถมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้เป็นเวลาหลายปี ทั้งๆที่หมอบอกให้ทำใจได้แล้ว ดูรายละเอียดการอุทิศบุญได้ที่ mind-power

7. การรักษาอารมณ์ ไม่ให้เคร่งเครียด เป็นทุกข์ กังวล กระวนกระวายการอิจฉา ริษยา ความโกรธ ความไม่พอใจทั้งหลายล้วนทำให้ร่างกาย หลั่งฮอร์โมนร้าย ที่ทำให้ภูมิต้านทานร่างกายต่ำลง การปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำด้วยการถือศีลหรือนั่งสมาธิก็ดี สวดมนต์ไหว้พระก็ดี ฟังธรรมะก็ดี ก็เป็นทางออกที่ช่วยควบคุมอารมณ์ได้และเป็นการทำบุญที่ไม่ต้องเสียเงิน ได้กุศลมากมายมหาศาลและทำให้จิตใจสงบคลายความกังวลทุกข์โศกได้ ืำทำให้ร่างกายไม่เครียด สุขภาพจิตดีช่วยเพิ่มภูมต้านทานร่างกายได้อย่างดี ทางเว็บได้รวบรวมธรรมะจากพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทั่วประเทศได้เลือกฟังตามศรัทธาของท่าน ฟังสะดวก เพราะเป็นรูปแบบวิดิโอรับชมและรับฟังได้ที่ guru-dhamma

8. ญาติพี่น้องลูกหลานคนรอบข้างมีส่วนสำคัญ ให้ทำความเข้าใจว่า ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมะเร็งจะไม่ได้เสียชีวิตจากมะเร็งโดยตรงทั้งหมด การดูแลที่ดีจากคนรอบข้างจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นหรือทรุดอย่างรวดเร็ว

โดย ทางแพทย์สายพุทธ

วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ตำรับยาเบ็ญจะอำมฤตย์

     บทความโดย นายคมสัน ทินกร ณ อยุธยา (แพทย์แผนไทย) ลำดับชั้นที่๖ ในสายราชสกุลแพทย์ "ทินกร"

      ตำรับยาเบ็ญจะอำมฤตย์นี้ ปรากฎอยู่ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ในที่นี้จักขอจำแนกแยกแยะองค์ประกอบของ ยาตำรับนี้ตามกรรมวิธีการอ่านตำรับยาแบบโบราณเพื่อจักทราบสรรพคุณปรากฎ
ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานแปลความหมายของคำว่า เบญจ และ อำมฤตย์ไว้ดังต่อไปนี้ " เบญจ " หมายว่า ลำดับห้า ส่วนคำว่า "อำมฤตย์" หรือ อมฤต หมายว่า น้ำทิพย์หรือเครื่องทิพย์ เบญจอำมฤตย์จึงน่าจักแปลได้ว่า เครื่องทิพย์ห้าประการ หรือ น้ำทิพย์ทั้งห้าก็ได้ ถึงแม้จะมีคำว่าเบญจ แต่ตำรับยานี้มิได้อยู่ในพิกัดยาเบญจแต่อย่างใด และยังประกอบไปด้วยเครื่องยาถึงเก้าชนิดดั่งนี้ขออนุญาติคัดลอกตำรับยานี้จากตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์

     ชื่อตำรับยา " เบ็ญจะอำมฤตย์ " เอามหาหิงค์ ๑ ยาดำบริสุทธิ์ ๑ เอาสิ่งละ ๑ สลึง รงทอง ๒ สลึง มะกรูด ๓ ผล เอามหาหิงค์,ยาดำ,รงทอง ใส่ในมะกรูดสิ่งละผล แล้วเอามูลโคพอกสุมไฟแกลบให้สุก ขิงแห้ง ๑ ดีปลี ๑ พริกไท ๑ เอาสิ่งละ ๑สลึง รากทนดี ๒ สลึง ดีเกลือ ๔ บาท

    ยาห้าสิ่งนี้ประสมกับมะกรูดที่สุมไว้ ทำเป็นจุณละลายน้ำส้มมะขามเปียก ให้รับประทานน้ำหนัก ๑ สลึง ฟอกอุจจาระอันลามกให้สิ้นโทษ ชำระลำไส้อันเป็นเมือกมัน แลปะระเมหะทั้งปวง

     หมายเหตุ การสะตุเครื่องยาเมาเบื่อในตำรับยานี้ ใช้มะกรูด,มูลโค,แกลบข้าว,และกำเดาจากแกลบข้าวจึ่งจะสะตุยาได้ฤทธิ์เครื่องยาเหมาะสมกับตำรับยานี้เท่านั้น ห้ามใช้วิธีอื่นเป็นขาด ดีเกลือต้องเป็นดีเกลือไทยเท่านั้น กระทำเป็นจุณ หมายยิ่งกว่าละเอียดคือเปรียบดั่งผงแป้ง และจักต้องใช้น้ำส้มมะขามเปียกเป็นกระสายยาเป็นเครื่องเชื่อมประสานปั้นเป็น ลูกกลอนแล้วต้องได้น้ำหนัก ๑ สลึงพอดี ห้ามนำไปปรุงด้วยกรรมวิธีอื่นต้องกระทำดั่งระบุไว้ในตำรับเท่านั้นจึ่ง สำเร็จสรรพคุณตามตำรับได้
หากอ่านตำรับยาโดยวิธีโบราณแล้วจักแยกได้เป็นดั่งนี้
     เครื่องยาหลัก มหาหิงค์,ยาดำ,รงทอง
     เครื่องยาช่วย รากทนดี,ดีเกลือ
     เครื่องยาประกอบ ขิงแห้ง,ดีปลี,พริกไท

      สรรพคุณเครื่องยาหลัก ถ่ายลม,ถ่ายน้ำเหลือง,ถ่ายเสมหะแลโลหิตที่เป็นพิษ,กัดฟอกเสมหะแลโลหิต

     สรรพคุณเครื่องยาช่วย ถ่ายเสมหะ,ถ่ายน้ำเหลืองเสีย,ขับเมือกมันในลำไส้

     สรรพคุณเครื่องยาประกอบ ขับเสมหะ,เจริญอากาศธาตุ, แก้ปถวีธาตุพิการ,แก้เสมหะเฟือง


     สรรพคุณตามตำรับบันทึก แก้ปะระเมหะ หมาย เสมหะที่แข็งตัวอย่างยิ่ง(ข้นแข็ง) เกิดแต่อาโปบุพโพ-โลหิตฟอกอุจจาระอันลามก หมายกรีสังในบุพโพและโลหิตนั้น รวมขับเมือกกรีสังในลำไส้

      อธิบายสรรพคุณตำรับดั่งนี้ ตำรับนี้ใช้เป็นยารุ หมายกรีสังอันเกิดแต่น้ำเหลืองและเลือดที่เป็นพิษนั้น และเป็นเหตุปลายที่เกิดมิใช่เหตุต้น จักเห็นว่าเครื่องยานี้มีแต่สรรพคุณรุเป็นหลัก แพทย์จักต้องวางด้วยความระมัดระวังต้องพิจารณากำลังโรคแลกำลังกายของผู้ไข้ว่ามีแรงต้านทานแรงโอสถสารของเครื่องยาในตำรับนี้ได้ แต่เหตุใดเล่าที่เป็นต้นทางแห่งโรคกระทำให้เสมหะเกิดเป็นพิษ
     ๑.เกิดแต่การกระทบกระแทกจนอักเสบติดเชื้อเป็นหนองภายใน
     ๒.เกิดแต่อวัยวะภายในมีน้ำหนอง(กรีสังของน้ำเหลือง) กระทำให้น้ำเหลืองเป็นพิษ เรียกพิษเสมหะ    
     ๓.เกิดแต่มีกรีสังของอวัยวะภายในที่พิการเจือเข้าไปในโลหิตกระทำให้บังเกิด พิษในโลหิต เรียกพิษโลหิต
     ๔.เกิดแต่ฝีภายในลาม(มะเร็งลาม) กระทำให้บังเกิดพิษเสมหะบุพโพ และโลหิต เหตุดังกล่าวกระทำให้เสมหะข้นแข็งขึ้นเป็นปะระเมหะ ๒๐ ประการแล

การรักษาจำต้องดำเนินต่อไปหลังจากวางยาตำรับนี้แล้ว เมื่อปะระเมหะแตกตัวกระจายออกไป บุพโพและโลหิตจักสะอาดขึ้น ผู้ไข้เริ่มมีกำลังกายต่อสู้กำลังโรคได้มากขึ้น และจักต้องวางเคียงกับยาบำรุงโลหิตเสมอไป เมื่อผู้ไข้มีกำลังกายดีขึ้นแพทย์จักต้องล้อมอาการข้างเคียงของโรคที่ดำเนินอยู่นั้น พร้อมกับการรักษาไปที่สมุฎฐานต้นทางของโรคตามที่แพทย์ได้วินิจฉัยไว้ก่อนแล้ว หลังจากนั้นจึงปรับธาตุบำรุงธาตุต่อไปจนผู้ไข้สมบูรณ์พร้อมปรกติ พร้อมนี้แพทย์พึงวางลำดับอาหารที่เหมาะควรแก่โรค และงดอาหารที่ผิดสำแดงต่อโรคประกอบตลอดการรักษานั้น ที่สำคัญแพทย์ไม่รักษาเพียงกาย แต่รักษาใจผู้ไข้ไปพร้อมกัน เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณกาล

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กรดไหลย้อน





               โรคฮิตที่เป็นกันโดยไม่รู้ตัว โรค GERD นี้เกี่ยวข้องกับตัวแปรหลายอย่างคือ
                     1. อาหารที่กินเข้าไป
                     2. น้ำย่อยหรือกรดน้ำดี
                     3. หูรูดส่วนปลายหลอดอาหาร และ
                     4. ลมในก ระเพาะอาหารที่ดันขึ้น (ตัวนี้เราเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ) 
                ตัวแปรที่ 1 และ 4 สามารถจับคู่กันได้ เพราะอาหารที่กินเข้าไปอาจจะทำให้เกิดลม(แก๊ส) ในกระเพาะอาหาร ปกติแล้ว หอม กระเทียม อาหารที่ผสมมิ้นต์ เช่น สะระแหน่ ผักแพว และที่มีน้ำมันหอมระเหยเช่น ขิง ข่า ตะไคร้ อบเชย โป๊ยกั๊ก พริกไทย จะขับลมทำให้เรอ หรือผายลมทางทวารหนัก อาหารเหล่านี้ไม่น่าจะมี โทษเป็นเหตุให้หูรูดส่วนปลาย คลายตัว แต่อาหารเหล่านี้จะช่วยให้การย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น 
                ตัวแปรที่ 2 น้ำย่อยหรือกรดน้ำดี ปกติตับจะสังเคราะห์จากคอเลสเตอรอล หรือเรียกอีกชื่อว่า lipoprotein ซึ่งได้จาก lipid + protein ตัวแปรอันนี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามองเพราะมันเปลี่ยนแปลง กว่า ๓๐ ปีแล้วที่ร่างกาย คนไทยได้ ไขมัน (lipid) จากน้ำมันมะพร้าว กะทิ และน้ำมันหมู ซึ่งมีสัดส่วนของไขมันอิ่มตัวสูง โดย ธรรมชาติ ในขณะที่ปัจจุบันคนไทยร้อยละ ๘๐ได้รับประทานไขมันอิ่มตัวสูงด้วยการเติมไฮโดรเจน (Trans fat)ได้แก่ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีทุกชนิด และร้อยละ ๒๐ บริโภคไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งได้จาก น้ำมันพืชบีบเย็น (Cold press) ที่ฝรั่งนิยมใช้ทำน้ำสลัดได้แก่ น้ำมันข้าวโพด น้ำมันคาโนล่า น้ำมันมะกอก- โอลีฟ เป็นต้น อย่างไรก็ตามในคนไทยร้อยละ ๒๐ นี้ส่วนใหญ่จะปรุงอาหารด้วยความร้อนเช่น การทอด การผัดซึ่งจะทำให้แขนในโครงสร้างเคมีอีกข้างหนึ่งของน้ำมันบีบเย็นจับกับ ธาตุไฮโดรเจนซึ่งมีอยู่ในน้ำหรืออากาศ กลายเป็นไขมันอิ่มตัวสูง (Trans fat) ได้เช่นกัน 
               คนไข้ ชายคนหนึ่งเป็นโรคเก๊าท์เรื้อรังมานาน อาหารที่กินก็พิถีพิถันไม่กินสัตว์ปีก หน่อไม้ ที่มีกรดยูริคสูง แต่ก็ไม่เคยหายจากโรคนี้ จึงแนะนำให้เลิกกินน้ำมันพืชทุกชนิด แต่คนไข้ก็ยืนยันว่าทุกวันนี้กินแต่น้ำมันมะกอก โอลีฟเท่านั้น ข้าพเจ้าถามว่าได้นำน้ำมันไปทอดหรือผัดด้วยใช่มั้ย คนไข้ก็บอกว่าใช่ ซึ่งบางคนมักจะเจ็บคอ คออักเสบเพราะน้ำมัน พืชมีพิษ แต่การอักเสบของคนไข้รายนี้ไปอยู่ที่ข้อจึงทำให้เป็นโรคเก๊าท์ไม่หาย พอคนไข้ลองงดน้ำมันพืชดู ปรากฎว่าการตรวจเลือดครั้งหลังสุด กรดยูริคต่ำ ลง 
               วิธีการพิสูจน์ว่าน้ำมันชนิดไหนกินไม่ได้ให้สังเกตจาก การล้างจานชามที่เปื้อนน้ำมันชนิดนั้น ถ้าหากต้อง ใช้น้ำยาล้างจานมากในการขจัดคราบไขมันก็ให้สงสัยไว้ก่อน แล้วค่อยพิสูจน์คราบฝังแน่นที่ติดอยู่ตาม กระทะ ผนังเตา ว่าสามารถล้างออกได้ง่ายหรือไม่ ถ้าต้องใช้น้ำส้มสายชู หรือ ส้มมะขามเปียกล้าง หรือน้ำยาพิเศษขจัดคราบก็มั่นใจได้เลยว่า น้ำมันชนิดนั้นกินไม่ได้ เพราะถ้ามันติดแน่นขนาดนี้ใน อุณหภูมิห้องได้ มันก็จะติดในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้ตีบตันเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ขณะเดียวกันมันก็สามารถทำให้เส้นเลือดฝอยไตตีบตัน ทำให้เกิดโรคไตชนิดต่างๆ ได้ เมื่อกรดน้ำดี(น้ำย่อย)ผิดปกติ ก็ย่อมทำให้การย่อยอาหารมีมลพิษในกระเพาะอาหารได้ แก๊สที่เกิดจากการ เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ในกระเพาะอาหาร ย่อมมากขึ้นและดันหูรูดปลายหลอดอาหารให้เปิดออกได้ ถ้าถามว่ากรดน้ำดีผิดปกติอย่างไร เชี่อว่าความเป็นกรดเพิ่มมากขึ้น เพราะอาหารที่กินส่วนใหญ่ มีน้ำมันพืชเป็นองค์ประกอบ(ไขมันคือ fatty acid) โดยปกติแล้วไขมันจะถูกย่อยโดยเอ็นไซม์ในลำไส้เล็กตอนต้น ในขณะที่มันอยู่ในกระเพาะอาหารมันจะเสริมความเป็นกรดให้กับกรดน้ำดีซึ่งจะทำ ให้กระเพาะอาหาร เป็นแผลได้ เราจึงพบว่าผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารมักชอบกินอาหารทอดเป็นประจำ และผู้ป่วยโรค มะเร็งกระเพาะอาหารก็เช่นกัน 
              ส่วนตัวแปรที่ 3 หูรูดคลาย หรือหย่อนนั้นไม่มีใครเห็น เป็นเพียงข้อสันนิษฐานว่ามันต้องเปิด กรดจึงไหล ย้อนกลับได้ ในกระเพาะอาหารนั้นมีความเป็นกรดสูงเกินไป ทำให้เกิด ปฏิกริยาเคมี เป็นฟองฟูขึ้นเพราะแก๊สจนล้นกระเพาะอาหารตอนบน เลยขึ้นมาถึงหลอดอาหารที่คอ ผู้ป่วย จึงได้รสเปรี้ยว และบางทีรสขม จากกรดน้ำดี 

              วิธีแก้โรคนี้ทำได้ 2 ทางคือ 
                  1.แก้ที่ lipid และ 
                  2. แก้ที่ protein ซึ่งจะกลายเป็น คอเลสเตอรอลในร่างกายการแก้ที่ง่ายที่สุดคือ หยุดกินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี และน้ำมันพืชบีบเย็นที่นำไปทอด ผัด ส่วนการแก้ที่ protein ที่กินเข้าไปนั้นต้องถือ มังสะวิรัติ ถ้าใครไม่อยากเป็นมังสะวิรัติก็แก้เฉพาะงดกินน้ำมันพืช เพราะปกติแล้วเนื้อสัตว์ที่เรากินเข้าไปจะมีทั้งโปรตีนและไขมันในตัวมันแล้ว ดังนั้นตับก็สามารถสร้าง คอเลสเตอรอลได้ แม้ว่าเนื้อสัตว์จะปนเปื้อนเคมีต่างๆ แต่ก็ยังจำเป็นมากกว่าน้ำมันพืช

ที่มา:  หมอสะกีนะฮฺ แพทย์แผนตะวันออก

ธรรมชาติบำบัดรักษาภูมิแพ้

รูปภาพ : กลับมาแล้วค่ะจากหายไปนาน  (ต้องขออภัยไปตามๆๆกันนะค่ะ ยุ่งกับการเปิดคลินิกใหม่&การเรียบเรียงการวินิจฉัยตำราโบราณอยู่ค่ะ^_^X


ธรรมชาติบำบัดรักษาภูมิแพ้
 
1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เช่น ขนสุนัข, ควันบุหรี่, เกสรดอกไม้, ฝุ่นในบ้าน,นมวัวและผลิตภัณฑ์จากวัว 2. ปรับอาหาร โดยการกินอาหารที่ต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี คนเราสร้างวิตามินซี ไม่ได้ ไม่เหมือนสุนัข, แมว ซึ่งสร้างวิตามินซีได้ วิตามินซีจะอยู่ในอาหารประเภทเปรี้ยว , ฝาด, คือ ผัก ผลไม้ที่สดๆ อนุมูลอิสระอีกกลุ่มหนึ่ง คือ วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ซึ่งอยู่ในผักผลไม้ที่มีสีเขียวจัด , สีเหลือง, สีแดง,สีม่วง, แครอทมีเบต้าแคโรทีน แต่มีไม่มาก แครอท 100g มีวิตามินเออยู่ 1,144 อินเตอร์เนชั่นแนลยูนิต แต่ที่มีเบต้าแคโรทีนมาก คือ ผักเหลียง ,ผักปัง,ผักขี้เหล็ก 100 g มีวิตามินเอ 43,333 อินเตอร์เนชั่นแนลยูนิต มากกว่าแครอท 40 เท่า วิตามินอีกตัวที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินอี ซึ่งมีอยู่ในเมล็ดธัญพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน,เมล็ดฟักทอง,จมูกข้าว ฉะนั้นควรกินข้าวกล้องจะมีจมูกข้าวมาก คนที่เป็นภูมิแพ้ถ้าอยากหายควรกินข้าวกล้อง น้ำผลไม้สดวันละ 2 แก้ว 3. การออกกำลังกาย ต้องสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3 วันๆละ ½ ชั่วโมง ทำให้ภูมิแพ้ดีขึ้น 4. เพิ่มภูมิต้านทาน เช่น อบสมุนไพร ,ซาวน่า .อาบแสงตะวัน เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจะมีไข้ ไข้ไม่ใช่สิ่งที่เชื้อโรคสร้างขึ้นมา แต่เป็นสัญญาณเพื่อกระตุ้นให้ภูมิต้านทานออกมาทำงานให้สมดุลขึ้น แต่ถ้าเราปกติ สามารถกระตุ้นให้ภูมิต้านทานทำงานโดยการทำให้มีไข้ โดยไปอบซาวน่าหรืออาบแสงตะวัน ร่างกายจะเหมือนมีไข้ ภูมิต้านทานจะออกมาทำงาน แสงแดดควรเป็นช่วงบ่าย หันหน้า-หลัง ข้างละ 10 นาที หรืออาบน้ำอุ่นสลับน้ำเย็นอย่างละ 1 นาที สัก 2-3 รอบก็ได้ 
                                                                                            การอดเพื่อสุขภาพ
 
การอดมีตั้งแต่สมัยโบราณ มีทุกชาติทุกศาสนา และเป็นสัญชาติญาณการอดของสัตว์ต่างๆ รวมทั้งมนุษย์เรา เช่น การเจ็บป่วย จะเบื่ออาหาร ทางวิทยาศาสตร์จะมี 3 ทฤษฎี ที่อธิบายเรื่องการอดทำไมส่งผลดีต่อร่างกาย
            1. ทฤษฎีการถ่ายเทพลังงาน การกินอาหาร จะใช้พลังงานในการย่อยอาหาร ถ้าเราอดอาหาร ร่างกายจะไม่ใช้พลังงาน แต่จะใช้พลังงานในการกำจัดสารพิษแทน 2. ทฤษฎีอนุมูลอิสระ การกินอาหารเหมือนการเอาเชื้อเพลิงเข้าไปในร่างกาย ทุกครั้งที่มีการเผาเชื้อเพลิงจะเกิดอนุมูลอิสระทุกครั้ง เช่น นำฟืนมาจุดไฟ ออกซิเจนจากอากาศมารวมตัวเกิดเป็นไฟความร้อน เผาไหม้เชื้อเพลิงคือฟืนจะหายไป แต่จะเกิดเขม่าควันก็คืออนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับร่างกายของเรา เมื่อกินอาหาร ข้าวและไขมันคือเชื้อเพลิง การหายใจคืออกซิเจนเข้าไปสันดาปเกิดเป็นพลังงาน สิ่งที่เกิดขึ้นเสมอคือ อนุมูลอิสระ ฉะนั้นคนที่กินน้อยอยู่นาน เพราะร่างกายเผาผลาญน้อยลง อนุมูลอิสระจะน้อย สุขภาพจะดี 3. ทฤษฎีขับสารพิษจากลำไส้ใหญ่ โดยที่ลำไส้ใหญ่ มีหน้าที่ 1) เป็นที่พักอุจจาระ ลำไส้ใหญ่จะพองตัวเป็นที่เก็บอุจจาระ อาหารทางปากจนถึงทวารหนัก ใช้เวลา 24- 48 ชั่งโมง                            

              2) เป็นทางผ่านของสารพิษ ซึ่งสารพิษต่างๆในร่างกายจะดูดขับโดยตับ แล้วขับออกกับน้ำดี น้ำดีเข้ามาผสมกับกากอาหารที่เหลือจากการย่อย คือ อุจจาระซึ่งมีสีเหลืองของน้ำดี อยู่ด้
                  
              3) การดูดน้ำกลับ ทำให้อุจจาระเป็นก้อน ปัญหาคือ บางคนท้องผูก 7 วัน อุจจาระดูดน้ำกลับเรื่อยๆ อุจจาระจะแข็ง สารพิษจะดูดกลับไปกับน้ำด้วยทำให้เกิดโรคภูมิแพ้   การอดอาหารมีหลายวิธี ถ้าอดด้วยผลไม้ เราจะได้วิตามินต่างๆ ทำให้ร่างกายขับสารพิษได้ดีขึ้น นอกจากนี้ผลไม้จะมีเส้นใยสูง จะทำหน้าที่เหมือนไม้กวาดที่คอยปัดกวาดเอาของเสียออกมาได้ดีขึ้น ถ้าอด 7 วัน ร่างกายจะเกลี้ยงเกลาสะอาด 
 
 
ชนิดของอด
 
- อดไม่กินอะไรเลย - อด + กินแต่น้ำเปล่า - อด + กินแต่น้ำผลไม้ - กินแต่ผลไม้อย่างเดียว 
 
 
นิยามของการอด
 
การกำจัดการกินอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน 800 แคลลอรี่ / วัน ซึ่งเป็นพลังงานที่น้อยที่สุดที่ร่างกายต้องการ แหล่งพลังงานสำรองของร่างกายคือ ไกลโคเจนซึ่งอยู่ในกล้ามเนื้อร่างกายจะใช้ไกลโคเจนไปเมื่อไกลโคเจนใกล้หมดร่างกายจะใช้พลังงานแหล่งที่ 2 คือไขมัน ทำให้ผอมลง 
 
 
ผลไม้สำหรับการอด
 
ผลไม้เนื้อโปร่งไม่หวาน เช่น มะละกอ , ฝรั่ง, ชมพู่,แตงโม, สับปะรด ห้ามผลไม้หวานจัด เนื้อแป้งเยอะ เช่น ทุเรียน , ละมุด,กล้วย 
 
 
ระยะต่างๆ ของการอด
 
ระยะที่ 1 1-6 ชั่วโมง ระยะหิว- ระหว่างที่อดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงทำให้หิว ระยะที่ 2 6-18 ชั่วโมง ระยะโหย จะไม่ค่อยมีแรง เริ่มใช้พลังงานจากไกลโครเจนที่ตับและใช้ไขมัน จนน้ำตาลใน เลือดปกติ อาการหิวจะหายไป ระยะที่ 3 12-48 ชั่วโมง ระยะซ่านพิษ ระยะนี้อาการจะเป็นมากขึ้น ช่วงสั้นเกิดจากสารพิษสะสมในร่างกาย เป็นสารพิษที่ละลายในไขมัน จะถูกละลายในกระแสเลือด ช่วงนี้อาการภูมิแพ้จะมาก เป็นช่วงที่ควรไปสวนกาแฟ ซึ่งกาแฟจะกระตุ้นให้ตับขับสารพิษออกมาได้ดี ควรผ่านระยะนี้ให้ได้ ระยะที่ 4 เลย 48 ชั่วโมง ระยะปลอดพิษ ระยะนี้อาการภูมิแพ้จะลดลง 
 
 
ล้างพิษ 10 วัน
 
วันที่ 1 วันเตรียมตัวอด คือ กินอาหารลดลงทีละหมู่ ในตอนเช้ากินทุกหมู่ มื้อกลางวันให้ตัดหมู่ คาร์โบไฮเดรต งดข้าว มื้อเย็น กินแต่ผัก ผลไม้ กินปลามื้อสุดท้าย เนื่องจากระยะที่ 2 หรือระยะโหย ร่างกายจะเอาไกลโครเจนมาใช้ จะเกิดกรดแลคติก คือ เลือดเป็นกรดมากขึ้น แล้วร่างกายจะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ถ้ากินข้าวมาตลอด เลือดจะเป็นกรดมาก อาการครั่นเนื้อตัวจะมาก ฉะนั้นจึงต้องงดแป้งก่อนมื้อแรก แต่ยังใช้พลังงานจากไขมันหรือโปรตีนอยู่ ความเป็นกรดของเลือดก็จะไม่มาก วันที่ 2-3 วันอด กินผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน ( เนื้อโปร่ง ไม่หวานจัด) เรียกว่า Mono diet เพราะกินแล้วเบื่อทำให้หยุดกิน และกินอาหาร 1 ชนิด ร่างกายจะหลั่งน้ำย่อยเพียง 1 ชนิด เอาพลังที่เหลือจากหลั่งน้ำย่อยชนิดเดียว ไปขับสารพิษ วันที่ 4-8 วันกินอิ่ม กินผักผลไม้หลายชนิด เพราะพิษถูกขับไปเกือบหมดอาหารหลักเป็นสลัดผัก, แกงจืดผัก, แกงส้ม, ผัดผัก ไม่ใช่โปรตีน สามารถกินจนอิ่ม ไม่หวานหรือมีน้ำมัน อาจเป็นเมล็ดธัญพืช ½ ช้อนโต๊ะ วันที่ 9-10 วันเตรียมเลิก กินข้าว 1 มื้อ กินปลา 1 ขีด 1 มื้อ เพราะช่วงนี้ไม่มีน้ำย่อย กินมากจะท้องอืด ปวดท้อง และการอดนี้จะช่วยรักษาโรคกระเพาะ หลังจากนั้น กินตามปกติ คือ ข้าวกล้อง ผลไม้ ผัก ถ้าทานเป็นประจำสารพิษจะถูกขับสม่ำเสมอ อาการภูมิแพ้จะดีขึ้น ควรอดล้างพิษ 10 วัน นี้ทุก 6 เดือน (ปีละ 2 ครั้ง) แต่สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ควรทำทุกสัปดาห์ ระหว่างนั้นให้ควบด้วยการล้างย่อย โดยการอดล้างพิษแบบ 1 วันทุกสัปดาห์ ใช้วันหยุด มี 4 สูตรให้เลือก คือ 
 
 
 สูตร  1

ตอนเช้า    น้ำผลไม้ 1 แก้ว + มะละกอ
 
ตลอดวัน     มะละกออย่างเดียว
 
วันรุ่งขึ้น      สวนกาแฟหรือน้ำเปล่า 1,600 ซีซี + เกลือแกง 3 ช้อนชา + มะนาว 4 ลูก ดื่มให้หมดทีเดียว  ตอนเช้าแล้วจะถ่าย 
 

สูตร 2
 
ตอนเช้า   น้ำส้ม 1 แก้ว + มะละกอ 

ตลอดวัน   กินน้ำส้มอย่างเดียว
 
วันรุ่งขึ้น  สวนกาแฟหรือน้ำมะนาว 1 แก้ว
 
สูตร 3
 
ตอนเช้า  น้ำส้ม 1 แก้ว + มะละกอ

ตลอดวัน  กินน้ำเปล่า
 
วันรุ่งขึ้น  น้ำมะนาว 1 แก้ว
 
สูตร 4
 
ตอนเช้า  น้ำส้ม 1 แก้ว + มะละกอ
 
กลางวัน  ไม่กินอะไรเลย 

วันรุ่งขึ้น  น้ำมะนาว 1 แก้ว
 
"ลองทำกันดูนะค่ะ" 

        1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เช่น ขนสุนัข, ควันบุหรี่, เกสรดอกไม้, ฝุ่นในบ้าน,นมวัวและผลิตภัณฑ์ จากวัว 
        2. ปรับอาหาร โดยการกินอาหารที่ต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี คนเราสร้างวิตามินซี ไม่ได้ ไม่เหมือนสุนัข, แมว ซึ่งสร้างวิตามินซีได้ วิตามินซีจะอยู่ในอาหารประเภทเปรี้ยว , ฝาด, คือ ผัก ผลไม้ที่สดๆ อนุมูลอิสระอีกกลุ่มหนึ่ง คือ วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ซึ่งอยู่ในผักผลไม้ที่มีสีเขียวจัด , สีเหลือง, สีแดง,สีม่วง, แครอทมีเบต้าแคโรทีน แต่มีไม่มาก แครอท 100g มีวิตามินเออยู่ 1,144 อินเตอร์เนชั่นแนลยูนิต แต่ที่มีเบต้าแคโรทีนมาก คือ ผักเหลียง ,ผักปัง,ผักขี้เหล็ก 100 g มีวิตามินเอ 43,333 อินเตอร์เนชั่นแนลยูนิต มากกว่าแครอท 40 เท่า วิตามินอีกตัวที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินอี ซึ่งมีอยู่ในเมล็ดธัญพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน,เมล็ดฟักทอง,จมูกข้าว ฉะนั้นควรกินข้าวกล้องจะมีจมูกข้าวมาก คนที่เป็นภูมิแพ้ถ้าอยากหายควรกินข้าวกล้อง น้ำผลไม้สดวันละ 2 แก้ว 
       3. การออกกำลังกาย ต้องสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3 วันๆละ ½ ชั่วโมง ทำให้ภูมิแพ้ดีขึ้น 
       4. เพิ่มภูมิต้านทาน เช่น อบสมุนไพร ,ซาวน่า .อาบแสงตะวัน เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจะมีไข้ ไข้ไม่ใช่สิ่งที่เชื้อโรคสร้างขึ้นมา แต่เป็นสัญญาณเพื่อกระตุ้นให้ภูมิต้านทานออกมาทำงานให้สมดุลขึ้น แต่ถ้าเราปกติ สามารถกระตุ้นให้ภูมิต้านทานทำงานโดยการทำให้มีไข้ โดยไปอบซาวน่าหรืออาบแสงตะวัน ร่างกายจะเหมือนมีไข้ ภูมิต้านทานจะออกมาทำงาน แสงแดดควรเป็นช่วงบ่าย หันหน้า-หลัง ข้างละ 10 นาที หรืออาบน้ำอุ่นสลับน้ำเย็นอย่างละ 1 นาที สัก 2-3 รอบก็ได้


การอดเพื่อสุขภาพ
      การอดมีตั้งแต่สมัยโบราณ มีทุกชาติทุกศาสนา และเป็นสัญชาติญาณการอดของสัตว์ต่างๆ รวมทั้งมนุษย์เรา เช่น การเจ็บป่วย จะเบื่ออาหาร ทางวิทยาศาสตร์จะมี 3 ทฤษฎี ที่อธิบายเรื่องการอดทำไมส่งผลดีต่อร่างกาย

       1. ทฤษฎีการถ่ายเทพลังงาน การกินอาหาร จะใช้พลังงานในการย่อยอาหาร ถ้าเราอดอาหาร ร่างกายจะไม่ใช้พลังงาน แต่จะใช้พลังงานในการกำจัดสารพิษแทน 2. ทฤษฎีอนุมูลอิสระ การกินอาหารเหมือนการเอาเชื้อเพลิงเข้าไปในร่างกาย ทุกครั้งที่มีการเผาเชื้อเพลิงจะเกิดอนุมูลอิสระทุกครั้ง เช่น นำฟืนมาจุดไฟ ออกซิเจนจากอากาศมารวมตัวเกิดเป็นไฟความร้อน เผาไหม้เชื้อเพลิงคือฟืนจะหายไป แต่จะเกิดเขม่าควันก็คืออนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับร่างกายของเรา เมื่อกินอาหาร ข้าวและไขมันคือเชื้อเพลิง การหายใจคืออกซิเจนเข้าไปสันดาปเกิดเป็นพลังงาน สิ่งที่เกิดขึ้นเสมอคือ อนุมูลอิสระ ฉะนั้นคนที่กินน้อยอยู่นาน เพราะร่างกายเผาผลาญน้อยลง อนุมูลอิสระจะน้อย สุขภาพจะดี 3. ทฤษฎีขับสารพิษจากลำไส้ใหญ่ โดยที่ลำไส้ใหญ่ มีหน้าที่ 1) เป็นที่พักอุจจาระ ลำไส้ใหญ่จะพองตัวเป็นที่เก็บอุจจาระ อาหารทางปากจนถึงทวารหนัก ใช้เวลา 24- 48 ชั่งโมง

       2) เป็นทางผ่านของสารพิษ ซึ่งสารพิษต่างๆในร่างกายจะดูดขับโดยตับ แล้วขับออกกับน้ำดี น้ำดีเข้ามาผสมกับกากอาหารที่เหลือจากการย่อย คือ อุจจาระซึ่งมีสีเหลืองของน้ำดี อยู่ด้

       3) การดูดน้ำกลับ ทำให้อุจจาระเป็นก้อน ปัญหาคือ บางคนท้องผูก 7 วัน อุจจาระดูดน้ำกลับเรื่อยๆ อุจจาระจะแข็ง สารพิษจะดูดกลับไปกับน้ำด้วยทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ การอดอาหารมีหลายวิธี ถ้าอดด้วยผลไม้ เราจะได้วิตามินต่างๆ ทำให้ร่างกายขับสารพิษได้ดีขึ้น นอกจากนี้ผลไม้จะมีเส้นใยสูง จะทำหน้าที่เหมือนไม้กวาดที่คอยปัดกวาดเอาของเสียออกมาได้ดีขึ้น ถ้าอด 7 วัน ร่างกายจะเกลี้ยงเกลาสะอาด


ชนิดของอด
      - อดไม่กินอะไรเลย - อด + กินแต่น้ำเปล่า - อด + กินแต่น้ำผลไม้ - กินแต่ผลไม้อย่างเดียว


นิยามของการอด
       การกำจัดการกินอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน 800 แคลลอรี่ / วัน ซึ่งเป็นพลังงานที่น้อยที่สุดที่ร่างกายต้องการ แหล่งพลังงานสำรองของร่างกายคือ ไกลโคเจนซึ่งอยู่ในกล้ามเนื้อร่างกายจะใช้ไกลโคเจนไปเมื่อไกลโคเจนใกล้หมด ร่างกายจะใช้พลังงานแหล่งที่ 2 คือไขมัน ทำให้ผอมลง


ผลไม้สำหรับการอด
    ผลไม้เนื้อโปร่งไม่หวาน เช่น มะละกอ , ฝรั่ง, ชมพู่,แตงโม, สับปะรด ห้ามผลไม้หวานจัด เนื้อแป้งเยอะ เช่น ทุเรียน , ละมุด,กล้วย


ระยะต่างๆ ของการอด
       ระยะที่ 1:  1-6 ชั่วโมง ระยะหิว- ระหว่างที่อดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงทำให้หิว 
       ระยะที่ 2:  6-18 ชั่วโมง ระยะโหย จะไม่ค่อยมีแรง เริ่มใช้พลังงานจากไกลโครเจนที่ตับและใช้ไขมัน จนน้ำตาลใน เลือดปกติ อาการหิวจะหายไป 
       ระยะที่ 3:  12-48 ชั่วโมง ระยะซ่านพิษ ระยะนี้อาการจะเป็นมากขึ้น ช่วงสั้นเกิดจากสารพิษสะสมในร่างกาย เป็นสารพิษที่ละลายในไขมัน จะถูกละลายในกระแสเลือด ช่วงนี้อาการภูมิแพ้จะมาก เป็นช่วงที่ควรไปสวนกาแฟ ซึ่งกาแฟจะกระตุ้นให้ตับขับสารพิษออกมาได้ดี ควรผ่านระยะนี้ให้ได้ 
       ระยะที่ 4: เลย 48 ชั่วโมง ระยะปลอดพิษ ระยะนี้อาการภูมิแพ้จะลดลง


ล้างพิษ 10 วัน
      วันที่ 1 วันเตรียมตัวอด คือ กินอาหารลดลงทีละหมู่ ในตอนเช้ากินทุกหมู่ มื้อกลางวันให้ตัดหมู่ คาร์โบไฮเดรต งดข้าว มื้อเย็น กินแต่ผัก ผลไม้ กินปลามื้อสุดท้าย เนื่องจากระยะที่ 2 หรือระยะโหย ร่างกายจะเอาไกลโครเจนมาใช้ จะเกิดกรดแลคติก คือ เลือดเป็นกรดมากขึ้น แล้วร่างกายจะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ถ้ากินข้าวมาตลอด เลือดจะเป็นกรดมาก อาการครั่นเนื้อตัวจะมาก ฉะนั้นจึงต้องงดแป้งก่อนมื้อแรก แต่ยังใช้พลังงานจากไขมันหรือโปรตีนอยู่ ความเป็นกรดของเลือดก็จะไม่มาก 
       
      วันที่ 2-3 วันอด กินผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน ( เนื้อโปร่ง ไม่หวานจัด) เรียกว่า Mono diet เพราะกินแล้วเบื่อทำให้หยุดกิน และกินอาหาร 1 ชนิด ร่างกายจะหลั่งน้ำย่อยเพียง 1 ชนิด เอาพลังที่เหลือจากหลั่งน้ำย่อยชนิดเดียว ไปขับสารพิษ 
   
       วันที่ 4-8 วันกินอิ่ม กินผักผลไม้หลายชนิด เพราะพิษถูกขับไปเกือบหมดอาหารหลักเป็นสลัดผัก, แกงจืดผัก, แกงส้ม, ผัดผัก ไม่ใช่โปรตีน สามารถกินจนอิ่ม ไม่หวานหรือมีน้ำมัน อาจเป็นเมล็ดธัญพืช ½ ช้อนโต๊ะ 

       วันที่ 9-10 วันเตรียมเลิก กินข้าว 1 มื้อ กินปลา 1 ขีด 1 มื้อ เพราะช่วงนี้ไม่มีน้ำย่อย กินมากจะท้องอืด ปวดท้อง และการอดนี้จะช่วยรักษาโรคกระเพาะ หลังจากนั้น กินตามปกติ คือ ข้าวกล้อง ผลไม้ ผัก ถ้าทานเป็นประจำสารพิษจะถูกขับสม่ำเสมอ อาการภูมิแพ้จะดีขึ้น ควรอดล้างพิษ 10 วัน นี้ทุก 6 เดือน (ปีละ 2 ครั้ง) แต่สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ควรทำทุกสัปดาห์ ระหว่างนั้นให้ควบด้วยการล้างย่อย โดยการอดล้างพิษแบบ 1 วันทุกสัปดาห์ ใช้วันหยุด มี 4 สูตรให้เลือก คือ

สูตร 1

     ตอนเช้า น้ำผลไม้ 1 แก้ว + มะละกอ

     ตลอดวัน มะละกออย่างเดียว
     วันรุ่งขึ้น สวนกาแฟหรือน้ำเปล่า 1,600 ซีซี + เกลือแกง 3 ช้อนชา + มะนาว 4 ลูก ดื่มให้หมดทีเดียว ตอนเช้าแล้วจะถ่าย

สูตร 2

       ตอนเช้า น้ำส้ม 1 แก้ว + มะละกอ
       ตลอดวัน กินน้ำส้มอย่างเดียว
       วันรุ่งขึ้น สวนกาแฟหรือน้ำมะนาว 1 แก้ว

สูตร 3

        ตอนเช้า น้ำส้ม 1 แก้ว + มะละกอ

        ตลอดวัน กินน้ำเปล่า


        วันรุ่งขึ้น น้ำมะนาว 1 แก้ว


สูตร 4

         ตอนเช้า น้ำส้ม 1 แก้ว + มะละกอ

         กลางวัน ไม่กินอะไรเลย

         วันรุ่งขึ้น น้ำมะนาว 1 แก้ว


"ลองทำกันดูนะค่ะ"



ที่มา: หมอสะกีนะฮฺ แพทย์แผนตะวันออก


สปาผม


รูปภาพ : มาทำ"สปาผม"กันค่ะ^_^

         ในยุคที่แฟชั่นเปลี่ยนสีผมได้รับความนิยมสูงในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นสาวใหญ่ สาวน้อย หรือชายเจ้าสำอาง ต่างย้อมสีผมให้เห้นอยู่ทุกมุมเมือง ทว่าย้อมบ่อยครั้งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทำให้สุขภาพเส้นผมที่เคยเงาสลวยแตกปลายหรือกระด้าง
          การคืนสู่ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดีที่สุด จึงมีการคิดสูตรแชมพูและครีมนวดสูตรต่าง ๆ ที่ทำจากสมุนไพรสด เช่น มะกรูด ขิง ตะไคร้ ประคำดีควาย อันชัน ว่านหางจระเข้ และถั่วเหลือง "สปาผม" นอกจากจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และวิธีการใช้แล้ว ยังจะต้องมีความรู้ในเรื่องการนวดศรีษะ ต้นคอ ไหล่และหลังควบคู่ไปด้วย ซึ่งขั้นตอนการนวดจะช่วยให้เลือดหมุนเวียนที่เป็นส่วนสำคัยในการช่วยให้สุขภาพของผมและหนังศรีษะดีขึ้น

►►สำหรับขั้นตอนการทำ "สปาผม"
คือขั้นตอนการดูแลหนังศรีษะและเส้นผม ที่เริ่มจากการสระผมให้สะอาด แล้วหมักด้วยครีมดีทอกซ์  ที่ช่วยในการล้างพิษและเชื้อโรคบนหนังศรีษะ  และยังช่วยเปิดกระเปาะผม  ที่จะช่วยให้เซลล์ผมงอกได้ง่าย ในระหว่างที่หมัก จะมีการนวดศรีษะร่วมด้วย เพื่อให้เลือดไหลเวียนหล่อเลี้ยงหนังศรีษะและรากผม แล้วทิ้งไวประมาณ 15 นาที  หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดหมาดๆ ใส่แฮร์โทนิคบำรุงรากผม

►►ก่อนที่เราจะทำ "สปาผม" เราควรรู้เกี่ยวกับสภาพเส้นผมของแต่ละชนิดของเส้นผมเสียก่อน
ลักษณะเส้นผมของคนเราไม่เหมือนกันมีทั้งเส้นผมหนา ผมเส้นเล้ก ผมสั้น ผมยาว บ้างผมสั้นเหมือนกัน ผมยาวเหมือนกัน แต่ลักษณะเส้นผมไม่เหมือนกัน ทำให้การบำรุงและรักษาดูแลก็จะแตกต่างกันไปตาม ลักษณะของเส้นผม เรามาทำความรู้จักเส้นผมก่อนการบำรุงนะคะ

•ผมแห้ง กับการทำ "สปาผม"  

ลักษณะของผมแห้งคือ ผมที่ขาดน้ำหนัก ไม่มีน้ำมันจากหนังศรีษะมาหล่อเลี้ยงทำให้ผมแห้ง และไม่มีความเงางามของเส้นผม  และอาจจะส่งผลทำให้ผมแห้งเสียแตกปลาย เกิดรังแค และหนังศรีษะแห้ง  สาเหตุสำคัญของการเกิดผมแห้งเสีย คือการย้อม ดัด กัดสีผม โดนความร้อนจากไดร์เป่าผม  ความร้อนจากแสงอาทิตย์  การว่ายน้ำในสระ หรือน้ำทะเล  ก็ทำให้ผมแห้งเสียได้  ปัญหาเหล่านี้ ถ้าเราปล่อยละเลยและไม่บำรุงจะทำให้เส้นผมแห้งเสียอย่างรุนแรงได้  ดังนั้นสำหรับผมแห้งควรใช้ครีมนวดผมหลังสระและนวดบริเวณหนังศรีษะ เพื่อกระตุ้นให้หนังศรีาะสร้างน้ำมันมาหล่อเลี้ยงเส้นผมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
•ผมมัน กับการทำ "สปาผม"
เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันจากหนังศรีษะมากจนเกินไป ทำให้ดูเหนียวเหนอะหนะ และมีฝุ่น ละออง มาเกาะตามเส้นผม ทำให้ผมขาดชีวิตชีวา  จัดแต่งทรงผมยาก เพราะฉะนั้นคนทีมีผมมันหมั่นสระผมบ่อยๆ ไม่ต้องใช้ครีมนวดแต่ถ้าต้องใช้ ก็นวดตรงบริเวณปลายผม เพราะถ้านวดบริเวณหนังศรีษะก็ จะกระตุ้นให้หนังศรีษะผลิตน้ำมันออกมามากยิ่งขึ้น

•ผมเส้นเล้ก กับการทำ "สปาผม"

ลักษณะของผมเส้นเล้ก เป็นผมลีบแบนจิดหนังศรีษะ  แต่เนื่องจากผมเส้นเล็กเป็นผมที่เรียงกันสวย ไม่ยุ่งเหยิง เพราะฉะนั้นเราควรจะใช้ผลิตภัณฑ์อ่อนโยน และไม่เข้มข้นในการสระและนวด เพราะถ้าเราใช้ครีมชโลมผมมากเกินไป ก็จะทำให้ดูลีบแบนเข้าไปอีก ดูไม่สวยงาม ดังนั้น เราควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับเส้นผม

•ผมธรรมดา กับการทำ "สปาผม"

จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเพราะผมธรรมดา จะมีสมดุลในตัวอยู่แล้ว ทำให้เส้นผมมีความนุ่ม สลวย เงางาม  ผมธรรมดาจึงใช้ผลิตพัณฑ์ได้ง่ายในการดูแลบำรุงเส้นผม  แต่ถึงอย่างไรก็ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับเส้นผมถึงจะดี

•ผมหยักศก กับการทำ "สปาผม"

ลักษณะของผมหยักศกคือหยิกตามธรรมชาติแล้วแต่ว่าผมจะหยิกมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม ผมหยักศกจะจัดแต่งทรงค่อนข้างยากเพราะว่าจะจัดแต่งทรงได้เพียงไม่กี่ทรง เนื่องจากผมจะดูชี้ฟูและแห้งฉะนั้นในการดูแลผมหยักศกเบื้องต้นคือใช้แชมพูที่มีความอ่อนโยนต่อเส้นผม เวลาแปรงผมควรแปรงด้วยความอ่อนนุ่มและเบามือ และไม่ควรหวีผมหรือแปรงผมบ่อยหรือถ้าผมดูยุ่งก็ใช้มือสางเบา ๆ ได้ นอกจากนี้เวลานวดผมควรนวดบริเวณหนังศรีษะเพื่อกระตุ้นให้มีการบำรุงตามธรรมชาติ หลังจากนั้นนวดกลางผมไล่ไปถึงปลายผม ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบเจลจะดีกว่า เพราะจะช่วยลดความหยาบกระด้างของเส้นผมได้เป็นอย่างดี

•ผมเส้นหนา กับการทำ "สปาผม"

เป็นผมที่มีน้ำหนักดูนุ่มสลวย เวลาสะบัดผมจะดูพลิ้วไหว มีชีวิตชีวา ไม่ลีบแบน ติดหนังศรีษะ  ลักษณะของผมหนา เวลาสระผมต้องล้างให้สะอาด เพราะถ้าล้างไม่สะอาดอาจมีสารเคมีตกค้างที่เส้นผมได้  อย่างไรก็ตามอย่าขาดการบำรุงผมจะดูยุ่ง ฟู และขาดน้ำหนักได้

•ผมย้อม ดัด กัด โกรก หรือผมเสีย กับการทำ "สปาผม"

ปัจจุบันนิยมที่จะย้อม ดัด กัดโกรกเส้นผมกันมากขึ้นเพื่อให้เขากับบุคคลิก  เนื่องจากการกระทำกับผมแบบนี้ อาจส่งผลทำให้ผมแห้งเสียได้ เราจึงต้องใส่ใจดูแลบำรุงมากกว่าผมแบบอื่นเป็นพิเศษ  ฉะนั้นการอบไอน้ำก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเส้นผม ทำให้ผมนุ่มมากขึ้น และการหมักผมอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ก็ช่วยให้ดีขึ้นได้  ดังนั้นควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน และมีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงเส้นผม  แต่ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เพื่อผมที่ทำสี ย้อม ดัด กัด โกรก โดยตรง

ผมตรงยาว กับการทำ "สปาผม"

เป็นผมที่ดูแลค่อนข้างง่าย แต่ก็ไม่สามารถจะละเลยในการดูแลได้เพราะว่าผมตรงที่ยาวมากๆ ปลายผมก็จะต้องได้รับการดูแลด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ปลายผมแห้งแตกปลาย  ดังนั้นเวลาสระผม  จึงต้องล้างผมให้สะอาด และบำรุงด้วยครีมนวดผม  เวลานวดควรนวดบริเวณปลายผมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น  เพราะน้ำมันธรรมชาติไม่สามารถมาเลี้ยงถึงปลายผมได้  เพราะฉะนั้นอย่างขาดการดูไม่อย่างนั้นแล้วผมแห้งแตกปลายแน่

►►แนะนำสูตรครีมดีท็อกซ์ผม สำหรับการทำ "สปาผม" แบบง่าย ๆ แต่ได้ผลดีเกินคุ้ม
•สูตรครีมดท็อกซ์ "สปาผม" สูตรที่ 1
ใช้โยเกิร์ตผสมกับน้ำมันมะกอก หมักผมทิ้งไว้อย่างน้อยครึ่งชม. ก่อนสระผมหรือถ้ามีเวลาให้หมักไว้นานกว่านั้น ผมจะสวยปิ้งจริง ๆ
•สูตรครีมดีท็อกซ์ "สปาผม" สูตรที่ 2
ใช้หัวกะทิคั้นสด ๆ ผสมกับน้ำมันมะกรูด หมักไว้ รับรองผมจะเงา ดำ มัน นุ่มแบบธรรมชาติ
•สูตรครีมดีท็อกซ์ "สปาผม" สูตรที่ 3
ใช้มายองเนสหรือน้ำมันมะพร้าว จะทำให้เส้นผมนุ่มตามธรรมชาติ
•สูตรครีมดีท็อกซ์ "สปาผม" สูตรที่ 4
ใช้โยเกิร์ต ผสมน้ำมันมะกอก ผสมไข่แดง ผสมน้ำผึ้ง สรรพคุณเกินคำบรรยาย

ว่างๆๆก็ลองทำกันดูค่ะ
 
 
      ในยุคที่แฟชั่นเปลี่ยนสีผมได้รับความนิยมสูงในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นสาวใหญ่ สาวน้อย หรือชายเจ้าสำอาง ต่างย้อมสีผมให้เห้นอยู่ทุกมุมเมือง ทว่าย้อมบ่อยครั้งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทำให้สุขภาพเส้นผมที่เคยเงาสลวยแตก ปลายหรือกระด้าง
การคืนสู่ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดีที่สุด จึงมีการคิดสูตรแชมพูและครีมนวดสูตรต่าง ๆ ที่ทำจากสมุนไพรสด เช่น มะกรูด ขิง ตะไคร้ ประคำดีควาย อันชัน ว่านหางจระเข้ และถั่วเหลือง "สปาผม" นอกจากจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และวิธีการใช้แล้ว ยังจะต้องมีความรู้ในเรื่องการนวดศรีษะ ต้นคอ ไหล่และหลังควบคู่ไปด้วย ซึ่งขั้นตอนการนวดจะช่วยให้เลือดหมุนเวียนที่เป็นส่วนสำคัยในการช่วยให้ สุขภาพของผมและหนังศรีษะดีขึ้น

►►สำหรับขั้นตอนการทำ "สปาผม"
คือขั้นตอนการดูแลหนังศรีษะและเส้นผม ที่เริ่มจากการสระผมให้สะอาด แล้วหมักด้วยครีมดีทอกซ์ ที่ช่วยในการล้างพิษและเชื้อโรคบนหนังศรีษะ และยังช่วยเปิดกระเปาะผม ที่จะช่วยให้เซลล์ผมงอกได้ง่าย ในระหว่างที่หมัก จะมีการนวดศรีษะร่วมด้วย เพื่อให้เลือดไหลเวียนหล่อเลี้ยงหนังศรีษะและรากผม แล้วทิ้งไวประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดหมาดๆ ใส่แฮร์โทนิคบำรุงรากผม

►►ก่อนที่เราจะทำ "สปาผม" เราควรรู้เกี่ยวกับสภาพเส้นผมของแต่ละชนิดของเส้นผมเสียก่อน
ลักษณะเส้นผมของคนเราไม่เหมือนกันมีทั้งเส้นผมหนา ผมเส้นเล้ก ผมสั้น ผมยาว บ้างผมสั้นเหมือนกัน ผมยาวเหมือนกัน แต่ลักษณะเส้นผมไม่เหมือนกัน ทำให้การบำรุงและรักษาดูแลก็จะแตกต่างกันไปตาม ลักษณะของเส้นผม เรามาทำความรู้จักเส้นผมก่อนการบำรุงนะคะ

•ผมแห้ง กับการทำ "สปาผม"

ลักษณะของผมแห้งคือ ผมที่ขาดน้ำหนัก ไม่มีน้ำมันจากหนังศรีษะมาหล่อเลี้ยงทำให้ผมแห้ง และไม่มีความเงางามของเส้นผม และอาจจะส่งผลทำให้ผมแห้งเสียแตกปลาย เกิดรังแค และหนังศรีษะแห้ง สาเหตุสำคัญของการเกิดผมแห้งเสีย คือการย้อม ดัด กัดสีผม โดนความร้อนจากไดร์เป่าผม ความร้อนจากแสงอาทิตย์ การว่ายน้ำในสระ หรือน้ำทะเล ก็ทำให้ผมแห้งเสียได้ ปัญหาเหล่านี้ ถ้าเราปล่อยละเลยและไม่บำรุงจะทำให้เส้นผมแห้งเสียอย่างรุนแรงได้ ดังนั้นสำหรับผมแห้งควรใช้ครีมนวดผมหลังสระและนวดบริเวณหนังศรีษะ เพื่อกระตุ้นให้หนังศรีาะสร้างน้ำมันมาหล่อเลี้ยงเส้นผมเพื่อเพิ่มความชุ่ม ชื้น
•ผมมัน กับการทำ "สปาผม"
เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันจากหนังศรีษะมากจนเกินไป ทำให้ดูเหนียวเหนอะหนะ และมีฝุ่น ละออง มาเกาะตามเส้นผม ทำให้ผมขาดชีวิตชีวา จัดแต่งทรงผมยาก เพราะฉะนั้นคนทีมีผมมันหมั่นสระผมบ่อยๆ ไม่ต้องใช้ครีมนวดแต่ถ้าต้องใช้ ก็นวดตรงบริเวณปลายผม เพราะถ้านวดบริเวณหนังศรีษะก็ จะกระตุ้นให้หนังศรีษะผลิตน้ำมันออกมามากยิ่งขึ้น

•ผมเส้นเล้ก กับการทำ "สปาผม"

ลักษณะของผมเส้นเล้ก เป็นผมลีบแบนจิดหนังศรีษะ แต่เนื่องจากผมเส้นเล็กเป็นผมที่เรียงกันสวย ไม่ยุ่งเหยิง เพราะฉะนั้นเราควรจะใช้ผลิตภัณฑ์อ่อนโยน และไม่เข้มข้นในการสระและนวด เพราะถ้าเราใช้ครีมชโลมผมมากเกินไป ก็จะทำให้ดูลีบแบนเข้าไปอีก ดูไม่สวยงาม ดังนั้น เราควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับเส้นผม

•ผมธรรมดา กับการทำ "สปาผม"

จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเพราะผมธรรมดา จะมีสมดุลในตัวอยู่แล้ว ทำให้เส้นผมมีความนุ่ม สลวย เงางาม ผมธรรมดาจึงใช้ผลิตพัณฑ์ได้ง่ายในการดูแลบำรุงเส้นผม แต่ถึงอย่างไรก็ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับเส้นผมถึงจะดี

•ผมหยักศก กับการทำ "สปาผม"

ลักษณะของผมหยักศกคือหยิกตามธรรมชาติแล้วแต่ว่าผมจะหยิกมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม ผมหยักศกจะจัดแต่งทรงค่อนข้างยากเพราะว่าจะจัดแต่งทรงได้เพียงไม่กี่ทรง เนื่องจากผมจะดูชี้ฟูและแห้งฉะนั้นในการดูแลผมหยักศกเบื้องต้นคือใช้แชมพู ที่มีความอ่อนโยนต่อเส้นผม เวลาแปรงผมควรแปรงด้วยความอ่อนนุ่มและเบามือ และไม่ควรหวีผมหรือแปรงผมบ่อยหรือถ้าผมดูยุ่งก็ใช้มือสางเบา ๆ ได้ นอกจากนี้เวลานวดผมควรนวดบริเวณหนังศรีษะเพื่อกระตุ้นให้มีการบำรุงตาม ธรรมชาติ หลังจากนั้นนวดกลางผมไล่ไปถึงปลายผม ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบเจลจะดีกว่า เพราะจะช่วยลดความหยาบกระด้างของเส้นผมได้เป็นอย่างดี

•ผมเส้นหนา กับการทำ "สปาผม"

เป็นผมที่มีน้ำหนักดูนุ่มสลวย เวลาสะบัดผมจะดูพลิ้วไหว มีชีวิตชีวา ไม่ลีบแบน ติดหนังศรีษะ ลักษณะของผมหนา เวลาสระผมต้องล้างให้สะอาด เพราะถ้าล้างไม่สะอาดอาจมีสารเคมีตกค้างที่เส้นผมได้ อย่างไรก็ตามอย่าขาดการบำรุงผมจะดูยุ่ง ฟู และขาดน้ำหนักได้

•ผมย้อม ดัด กัด โกรก หรือผมเสีย กับการทำ "สปาผม"

ปัจจุบันนิยมที่จะย้อม ดัด กัดโกรกเส้นผมกันมากขึ้นเพื่อให้เขากับบุคคลิก เนื่องจากการกระทำกับผมแบบนี้ อาจส่งผลทำให้ผมแห้งเสียได้ เราจึงต้องใส่ใจดูแลบำรุงมากกว่าผมแบบอื่นเป็นพิเศษ ฉะนั้นการอบไอน้ำก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเส้นผม ทำให้ผมนุ่มมากขึ้น และการหมักผมอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ก็ช่วยให้ดีขึ้นได้ ดังนั้นควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน และมีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงเส้นผม แต่ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เพื่อผมที่ทำสี ย้อม ดัด กัด โกรก โดยตรง

ผมตรงยาว กับการทำ "สปาผม"

เป็นผมที่ดูแลค่อนข้างง่าย แต่ก็ไม่สามารถจะละเลยในการดูแลได้เพราะว่าผมตรงที่ยาวมากๆ ปลายผมก็จะต้องได้รับการดูแลด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ปลายผมแห้งแตกปลาย ดังนั้นเวลาสระผม จึงต้องล้างผมให้สะอาด และบำรุงด้วยครีมนวดผม เวลานวดควรนวดบริเวณปลายผมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น เพราะน้ำมันธรรมชาติไม่สามารถมาเลี้ยงถึงปลายผมได้ เพราะฉะนั้นอย่างขาดการดูไม่อย่างนั้นแล้วผมแห้งแตกปลายแน่

►►แนะนำสูตรครีมดีท็อกซ์ผม สำหรับการทำ "สปาผม" แบบง่าย ๆ แต่ได้ผลดีเกินคุ้ม
•สูตรครีมดท็อกซ์ "สปาผม" สูตรที่ 1
ใช้โยเกิร์ตผสมกับน้ำมันมะกอก หมักผมทิ้งไว้อย่างน้อยครึ่งชม. ก่อนสระผมหรือถ้ามีเวลาให้หมักไว้นานกว่านั้น ผมจะสวยปิ้งจริง ๆ
•สูตรครีมดีท็อกซ์ "สปาผม" สูตรที่ 2
ใช้หัวกะทิคั้นสด ๆ ผสมกับน้ำมันมะกรูด หมักไว้ รับรองผมจะเงา ดำ มัน นุ่มแบบธรรมชาติ
•สูตรครีมดีท็อกซ์ "สปาผม" สูตรที่ 3
ใช้มายองเนสหรือน้ำมันมะพร้าว จะทำให้เส้นผมนุ่มตามธรรมชาติ
•สูตรครีมดีท็อกซ์ "สปาผม" สูตรที่ 4
ใช้โยเกิร์ต ผสมน้ำมันมะกอก ผสมไข่แดง ผสมน้ำผึ้ง สรรพคุณเกินคำบรรยาย

ว่างๆๆก็ลองทำกันดูค่ะ
 
ที่มา:  หมอสะกีนะฮฺ แพทย์แผนตะวันออก