นิ่วในไต คือ การมีสารก่อนิ่วในปัสสาวะสูงกว่าระดับสารยับยั้งนิ่ว
ร่วมกับปัจจัยเสริมคือ ปริมาตรของปัสสาวะน้อย
ส่งผลให้เกิดภาวะอิ่มตัวยวดยิ่งของสารก่อนิ่วในปัสสาวะ
จึงเกิดผลึกที่ไม่ละลายน้ำขึ้น เช่น แคลเซี่ยมออกซาเลต แคลเซี่ยมฟอสเฟต
และยูเรต
ผลึกนิ่วที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นให้เกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชั่นและการอักเสบ
ในท่อไต ส่งผลให้เซลล์บุท่อไตถูกทำลาย
ตำแหน่งที่ท่อไตถูกทำลายนี้จะเป็นพื้นที่ให้ผลึกนิ่วเกาะยึดและรวมกลุ่มกัน
เกิดการทับถมของผลึกนิ่วเป็นเวลานานจนกลายเป็นก้อนนิ่วได้ในที่สุด
ในคนปกติที่มีสารยับยั้งนิ่วในปัสสาวะสูงเพียงพอ จะสามารถยับยั้งการก่อตัวของผลึกนิ่วได้ โดยสารเหล่านี้จะไปแย่งจับกับสารก่อนิ่ว เช่น ซิเทรตจับกับแคลเซียม หรือแมกนีเซียมจับกับออกซาเลต ทำให้เกิดเป็นสารที่ละลายน้ำได้ดี และขับออกไปพร้อมกับน้ำปัสสาวะ ทำให้ปริมาณสารก่อนิ่วในปัสสาวะลดลงและไม่สามารถรวมตัวกันเป็นผลึกนิ่วได้ นอกจากสารยับยั้งนิ่วกลุ่มนี้แล้วโปรตีนในปัสสาวะหลายชนิด เช่น โปรตีนแทมฮอสฟอล และออสทีโอพอนติน ยังหน้าที่ป้องกันการก่อผลึกในปัสสาวะและเมื่อเคลือบที่ผิวผลึกจะช่วยขับ ผลึกออกไปพร้อมกับปัสสาวะได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันมีหลายงานวิจัยระบุว่าความผิดปกติของการสังเคราะห์และการทำงานของ โปรตีนยับยั้งนิ่วเหล่านี้ เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคนิ่วไต
อาการของโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ
อาการของโรคนิ่วนั้นเกิดจากการที่มีก้อนนิ่วไปอุดตันตามที่ต่างๆ ในทางเดินปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะขัดกระปริกระปรอย หากเป็นในระยะแรกร่างกายอาจขับก้อนนิ่วออกมาได้เองทางปัสสาวะ ซึ่งจะพบตะกอนเหมือนก้อนกรวดเล็กๆ ปนออกมาพร้อมกับปัสสาวะ แต่ถ้าก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้นจะมีการอุดตันที่มากขึ้น มีการเสียดสีและทำให้เกิดการบาดเจ็บมีเลือดออก ส่งผลให้ปัสสาวะมีสีแดงขึ้นจากเลือดหรือบางกรณีมีสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ เนื่องจากมีเนื้อบางส่วนหลุดลอกออกมาด้วย การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นทำให้มีอาการปวดท้อง ปวดหลังขึ้นได้ ในกรณีที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อนจะมีอาการไข้ร่วมด้วย หากปล่อยให้เป็นนิ่วไปนานๆ โดยมิได้รับการรักษาจะทำให้ไตบาดเจ็บเรื้อรัง ส่งผลให้ไตมีรูปร่างและทำงานผิดปกติมากขึ้นและนำไปสู่ภาวะไตวายในที่สุด ซึ่งพบว่ามีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้นการรักษาโดยการผ่าตัดออกจะทำให้เสียเนื้อไตไป บางส่วนด้วย หรือหากเป็นมากๆ อาจต้องตัดไตข้างนั้นทิ้ง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี
สาเหตุของการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะนั้น ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่นอน แต่เชื่อว่า สภาวะต่อไปนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ จากการศึกษาทาง ระบาดวิทยา พบว่าสาเหตุที่เกี่ยวข้องนั้นเกี่ยวข้องกับสาเหตุภายในร่างกายของผู้ป่วยเอง และ สภาพแวดล้อมตัวผู้ป่วย
ก.สาเหตุความผิดปกติที่เกี่ยวกับภายในตัวผู้ป่วยเอง
การที่ผู้ป่วยดูแลตนเองทั้งร่างกาย จิตใจ
ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างเคร่งครัดจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของ
การเกิดนี่ว ทำให้ไม่มีโรคนี่วหรือเป็นซ้ำน้อยลง สามารถปฏิบัติได้ดังนี้ค่ะในคนปกติที่มีสารยับยั้งนิ่วในปัสสาวะสูงเพียงพอ จะสามารถยับยั้งการก่อตัวของผลึกนิ่วได้ โดยสารเหล่านี้จะไปแย่งจับกับสารก่อนิ่ว เช่น ซิเทรตจับกับแคลเซียม หรือแมกนีเซียมจับกับออกซาเลต ทำให้เกิดเป็นสารที่ละลายน้ำได้ดี และขับออกไปพร้อมกับน้ำปัสสาวะ ทำให้ปริมาณสารก่อนิ่วในปัสสาวะลดลงและไม่สามารถรวมตัวกันเป็นผลึกนิ่วได้ นอกจากสารยับยั้งนิ่วกลุ่มนี้แล้วโปรตีนในปัสสาวะหลายชนิด เช่น โปรตีนแทมฮอสฟอล และออสทีโอพอนติน ยังหน้าที่ป้องกันการก่อผลึกในปัสสาวะและเมื่อเคลือบที่ผิวผลึกจะช่วยขับ ผลึกออกไปพร้อมกับปัสสาวะได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันมีหลายงานวิจัยระบุว่าความผิดปกติของการสังเคราะห์และการทำงานของ โปรตีนยับยั้งนิ่วเหล่านี้ เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคนิ่วไต
อาการของโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ
อาการของโรคนิ่วนั้นเกิดจากการที่มีก้อนนิ่วไปอุดตันตามที่ต่างๆ ในทางเดินปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะขัดกระปริกระปรอย หากเป็นในระยะแรกร่างกายอาจขับก้อนนิ่วออกมาได้เองทางปัสสาวะ ซึ่งจะพบตะกอนเหมือนก้อนกรวดเล็กๆ ปนออกมาพร้อมกับปัสสาวะ แต่ถ้าก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้นจะมีการอุดตันที่มากขึ้น มีการเสียดสีและทำให้เกิดการบาดเจ็บมีเลือดออก ส่งผลให้ปัสสาวะมีสีแดงขึ้นจากเลือดหรือบางกรณีมีสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ เนื่องจากมีเนื้อบางส่วนหลุดลอกออกมาด้วย การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นทำให้มีอาการปวดท้อง ปวดหลังขึ้นได้ ในกรณีที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อนจะมีอาการไข้ร่วมด้วย หากปล่อยให้เป็นนิ่วไปนานๆ โดยมิได้รับการรักษาจะทำให้ไตบาดเจ็บเรื้อรัง ส่งผลให้ไตมีรูปร่างและทำงานผิดปกติมากขึ้นและนำไปสู่ภาวะไตวายในที่สุด ซึ่งพบว่ามีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้นการรักษาโดยการผ่าตัดออกจะทำให้เสียเนื้อไตไป บางส่วนด้วย หรือหากเป็นมากๆ อาจต้องตัดไตข้างนั้นทิ้ง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี
สาเหตุของการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะนั้น ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่นอน แต่เชื่อว่า สภาวะต่อไปนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ จากการศึกษาทาง ระบาดวิทยา พบว่าสาเหตุที่เกี่ยวข้องนั้นเกี่ยวข้องกับสาเหตุภายในร่างกายของผู้ป่วยเอง และ สภาพแวดล้อมตัวผู้ป่วย
ก.สาเหตุความผิดปกติที่เกี่ยวกับภายในตัวผู้ป่วยเอง
1.กรรมพันธุ์ ผู้ป่วยที่พ่อแม่เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนิ่วเช่นเดียวกันได้
2.อายุและเพศ นิ่วในไต พบใน ชายมากกว่าหญิงถึง 2 ต่อ1 พบมากในผู้ใหญ่มากกว่าเด็กนิ่วในกระเพาะปัสสาวะพบมากในชายมากกว่าหญิงถึง 7 ต่อ 1 พบมากในเด็กชายอายุน้อยกว่า 7 ปี และในผู้ใหญ่ในช่วงอายุมากกว่า 30 ปี ขึ้นไป
3.ความผิดปกติในการทำงานของต่อม พาราไทรอยด์ ซึ่งหลั่ง hormone ที่ควบคุมสาร calciumออกมามากกว่าปกติ
4.มีการตีบแคบของระบบทางเดินปัสสาวะทำให้น้ำปัสสาวะคั่งค้าง การตีบแคบนี้อาจมีมาแต่กำเนิด หรือ เกิดขึ้นภายหลัง
5.ความเข้มข้นของน้ำปัสสาวะอันเกิดจากมีสารต่างๆถูกขับออกมาในน้ำปัสสาวะมากกว่าปกติ หรือเกิดผู้ป่วยดื่มน้ำน้อยกว่าปกติ หรือ สูญเสียน้ำจากร่างกายทางด้านอื่นมาก เมื่อน้ำปัสสาวะมีความเข้มข้นสูง โอกาสที่สารละลายในน้ำปัสสาวะจะตกผลึก ก็มีมากขึ้น
6.ความเป็นกรด/ด่างของน้ำปัสสาวะ ปัสสาวะที่มีฤทธิ์เป็นกรดมากจะเกิดการตกผลึกของ กรด ยูริค,ซีสตีน, ส่วนปัสสาวะที่มีฤทธิ์เป็นด่าง จะเกิดการตกตะกอนของผลึกสารจำพวก Oxalate,Phosphate และ Carbonate
7.การอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
8.วัตถุแปลกปลอมที่หลุดเข้าไปในทางเดินปัสสาวะ
9.ยาบางอย่างทำให้เกิดนิ่วได้ ยาลดกรดที่กินอยู่เป็นเวลานานๆ ทำให้ปัสสาวะมีฤทธิ์เป็นด่าง จะเกิดนิ่วพวก Phosphate ได้ง่าย
ข.สาเหตุร่วมที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมตัวผู้ป่วย
1.สภาพภูมิศาสตร์ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะมักอยู่ในบริเวณที่ราบสูง ประเทศไทยเรา พบมากในภาคอิสานและเหนือ
2.สภาวะอากาศและฤดูกาล ในฤดูร้อนจะพบว่าผป.เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะมา รพ.กันมาก อาจเนื่องจากเสียเหงื่อมากทำให้ปัสสาวะเข้มข้นทำให้นิ่วโตเร็วขึ้นจึงเกิด อาการขึ้น แต่ในฤดูหนาวเสียเหงื่อน้อย ปัสสาวะเจือจาง และ ปัสสาวะมีจำนวนมาก
3.ปริมาณน้ำดื่ม ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเข้มข้นของน้ำปัสสาวะ ถ้าดื่มน้ำน้อย และยังอาจเกี่ยวกับ เกลือแร่ที่ละลายอยู่ในน้ำของแต่ละท้องถิ่น
4.สภาพโภชนาการการบริโภคอาหารนานาชนิด และการดื่มน้ำเป็นผลให้มีการเพิ่ม/ลดของสารต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของก้อนนิ่ว เช่น การกินอาหารเครื่องในสัตว์,ยอดผัก,สาหร่าย, จะทำให้เกิดกรดยูริคได้การกินอาหารจำพวกผักที่มีสาร ออกซาเลทสูง เช่น ผักโขม,ผักแผว, หน่อไม้,ชะพลู ก็จะมีโอกาสเกิดนิ่ว พวกออกซาเลท เด็กเล็กที่ขาดอาหารพวกโปรตีนจะเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะมากการขาด วิตามิน เอ หรือ ได้รับ วิตามินดี มากเกินไป ก็ทำให้เกิดนิ่วได้
5.อาชีพ ผู้มีอาชีพเกษตรกร ทำงานกลางแจ้ง ก็จะมีการเสียเหงื่อมาก ทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้น ก็อาจเกิดการตกผลึก ของสารละลายในน้ำ ปัสสาวะเกิดนิ่วขึ้นได้ผู้ที่มีรายได้ต่ำ ก็จะบริโภคอาหารแป้งและผักมากโปรตีนน้อย ทำให้เกิดนิ่วจำพวกออกซาเลทได้ง่ายผิดกันกับผู้ที่มีรายได้สูงมีการบริโภค อาหาร โปรตีน ,ไขมันมากกว่าปกติ ทำให้เกิด เป็นนิ่วพวกกรดยูริค และ นิ่วแคลเซี่ยมสูง
2.อายุและเพศ นิ่วในไต พบใน ชายมากกว่าหญิงถึง 2 ต่อ1 พบมากในผู้ใหญ่มากกว่าเด็กนิ่วในกระเพาะปัสสาวะพบมากในชายมากกว่าหญิงถึง 7 ต่อ 1 พบมากในเด็กชายอายุน้อยกว่า 7 ปี และในผู้ใหญ่ในช่วงอายุมากกว่า 30 ปี ขึ้นไป
3.ความผิดปกติในการทำงานของต่อม พาราไทรอยด์ ซึ่งหลั่ง hormone ที่ควบคุมสาร calciumออกมามากกว่าปกติ
4.มีการตีบแคบของระบบทางเดินปัสสาวะทำให้น้ำปัสสาวะคั่งค้าง การตีบแคบนี้อาจมีมาแต่กำเนิด หรือ เกิดขึ้นภายหลัง
5.ความเข้มข้นของน้ำปัสสาวะอันเกิดจากมีสารต่างๆถูกขับออกมาในน้ำปัสสาวะมากกว่าปกติ หรือเกิดผู้ป่วยดื่มน้ำน้อยกว่าปกติ หรือ สูญเสียน้ำจากร่างกายทางด้านอื่นมาก เมื่อน้ำปัสสาวะมีความเข้มข้นสูง โอกาสที่สารละลายในน้ำปัสสาวะจะตกผลึก ก็มีมากขึ้น
6.ความเป็นกรด/ด่างของน้ำปัสสาวะ ปัสสาวะที่มีฤทธิ์เป็นกรดมากจะเกิดการตกผลึกของ กรด ยูริค,ซีสตีน, ส่วนปัสสาวะที่มีฤทธิ์เป็นด่าง จะเกิดการตกตะกอนของผลึกสารจำพวก Oxalate,Phosphate และ Carbonate
7.การอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
8.วัตถุแปลกปลอมที่หลุดเข้าไปในทางเดินปัสสาวะ
9.ยาบางอย่างทำให้เกิดนิ่วได้ ยาลดกรดที่กินอยู่เป็นเวลานานๆ ทำให้ปัสสาวะมีฤทธิ์เป็นด่าง จะเกิดนิ่วพวก Phosphate ได้ง่าย
ข.สาเหตุร่วมที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมตัวผู้ป่วย
1.สภาพภูมิศาสตร์ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะมักอยู่ในบริเวณที่ราบสูง ประเทศไทยเรา พบมากในภาคอิสานและเหนือ
2.สภาวะอากาศและฤดูกาล ในฤดูร้อนจะพบว่าผป.เป็นโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะมา รพ.กันมาก อาจเนื่องจากเสียเหงื่อมากทำให้ปัสสาวะเข้มข้นทำให้นิ่วโตเร็วขึ้นจึงเกิด อาการขึ้น แต่ในฤดูหนาวเสียเหงื่อน้อย ปัสสาวะเจือจาง และ ปัสสาวะมีจำนวนมาก
3.ปริมาณน้ำดื่ม ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเข้มข้นของน้ำปัสสาวะ ถ้าดื่มน้ำน้อย และยังอาจเกี่ยวกับ เกลือแร่ที่ละลายอยู่ในน้ำของแต่ละท้องถิ่น
4.สภาพโภชนาการการบริโภคอาหารนานาชนิด และการดื่มน้ำเป็นผลให้มีการเพิ่ม/ลดของสารต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของก้อนนิ่ว เช่น การกินอาหารเครื่องในสัตว์,ยอดผัก,สาหร่าย, จะทำให้เกิดกรดยูริคได้การกินอาหารจำพวกผักที่มีสาร ออกซาเลทสูง เช่น ผักโขม,ผักแผว, หน่อไม้,ชะพลู ก็จะมีโอกาสเกิดนิ่ว พวกออกซาเลท เด็กเล็กที่ขาดอาหารพวกโปรตีนจะเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะมากการขาด วิตามิน เอ หรือ ได้รับ วิตามินดี มากเกินไป ก็ทำให้เกิดนิ่วได้
5.อาชีพ ผู้มีอาชีพเกษตรกร ทำงานกลางแจ้ง ก็จะมีการเสียเหงื่อมาก ทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้น ก็อาจเกิดการตกผลึก ของสารละลายในน้ำ ปัสสาวะเกิดนิ่วขึ้นได้ผู้ที่มีรายได้ต่ำ ก็จะบริโภคอาหารแป้งและผักมากโปรตีนน้อย ทำให้เกิดนิ่วจำพวกออกซาเลทได้ง่ายผิดกันกับผู้ที่มีรายได้สูงมีการบริโภค อาหาร โปรตีน ,ไขมันมากกว่าปกติ ทำให้เกิด เป็นนิ่วพวกกรดยูริค และ นิ่วแคลเซี่ยมสูง
1. ควรดื่มน้ำปริมาณมาก ในแต่ละวันควรดื่มน้ำให้ได้มากกว่า 8 แก้วต่อวัน หรือให้ได้ปริมาตรของปัสสาวะมากกว่า 2 ลิตรต่อวัน เพื่อลดความอิ่มตัวของสารก่อนิ่วในปัสสาวะ และลดโอกาสการก่อผลึกนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
2. บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วนและสัดส่วนเหมาะสม
2.1 อาหารจำพวกผักและผลไม้ เป็นแหล่งของสารยับยั้งการเกิดนิ่ว และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ช่วยให้ปริมาณของซิเทรต โพแทสเซียม และความเป็นกรด-ด่างของปัสสาวะเพิ่มสูงขึ้น และยังลดการทำลายของเซลล์เยื่อบุท่อไต จึงสามารถยับยั้งการเกิดนิ่วได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ผักผลไม้ยังมีไฟเบอร์ช่วยลดแคลเซียมในปัสสาวะและยังช่วยลดไขมันใน เลือดได้อีกด้วย
2.2 ไขมันจากพืชและไขมันจากปลา สามารถลดปริมาณแคลเซียมในปัสสาวะได้ดีกว่าไขมันที่ได้จากเนื้อสัตว์อื่นๆ ลดโอกาสการเกิดนิ่วซ้ำ
2.3. ลดอาหารที่มีเนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ อาหารหวานและเค็มมาก และอาหารที่มีกรดยูริกสูง ได้แก่ หนังสัตว์ปีก ตับ ไต ปลาซาร์ดีน โดยปกติในผู้ใหญ่ไม่ควรได้รับโปรตีนจากสัตว์เกิน 150 กรัมต่อวัน การบริโภคอาหารโปรตีนสูงจะทำให้เพิ่มสารก่อนิ่วและเพิ่มโอกาสการเกิดนิ่วสูง มาก
2.4 หลีกเลี่ยงอาหารที่มีออกซาเลตสูง ได้แก่ งา ผักโขม ถั่วต่างๆ เช่นถั่วลิสง ชอกโกแลต และชา เป็นต้น ในผู้ป่วยชนิดแคลเซียมออกซาเลต หากจำเป็นต้องบริโภคควรรับประทานควบคู่ไปกับแคลเซียมหรือดื่มนมจะช่วยลด ปริมาณออกซาเลตในปัสสาวะ
2.5 เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ปัจจุบันพบว่าการลดอาหารที่มีแคลเซียมในผู้ป่วยโรคนิ่ว นอกจากจะทำให้สมดุลของแคลเซียมเปลี่ยนแปลง ยังเพิ่มปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกในอนาคตและยังทำให้ปริมาณสารออกซาเลตใน ปัสสาวะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากแคลเซียมจะไปจับและยับยั้งการดูดซึมออกซาเลตทางลำไส้จึงช่วยลด ระดับออกซาเลตในปัสสาวะได้ ภาวะปกติร่างกายควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1000 มิลลิกรัมต่อวัน
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิคเป็นเวลาอย่างน้อย 10-20 นาทีทุกวัน เช่น การเดินจะช่วยทำให้นิ่วขนาดเล็กหลุดได้ การเดินสมาธิ โยคะ ไทเก๊ก ทำให้การทำงานของร่างกายดีขึ้นและลดความเครียด และลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดก้อนนิ่ว
นอกเหนือจากการเลือกรับประทานอาหารและการออกกำลังกายแล้ว การเลือกรับประทานยาหรืออาหารเสริมบางชนิด ร่วมกับการลดความเครียดสามารถช่วยป้องกันการเกิดนิ่วไตซ้ำได้
อาหารเสริม วิตามิน กินอะไรช่วยหยุดนิ่วในไต
ในทางการแพทย์มีการใช้ยาหลากหลายเพื่อรักษาโรคนิ่ว อย่างไรก็ตามยาเหล่านี้ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอและมีผลข้างเคียง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะลดโอกาสการเกิดนิ่ว คือการควบคุมอาหารดังที่กล่าวข้างต้น มีข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคนิ่ว ดังต่อไปนี้
1. การดื่มน้ำมะนาวหรือน้ำมะนาวเข้มข้น เป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระและซิเทรตที่ดีมาก สามารถยับยั้งการก่อนิ่วและลดการบาดเจ็บของเซลล์บุท่อไตได้ดี
2. ควบคุมน้ำหนักในผู้ป่วยให้มีดัชนีมวลกาย (body mass index, BMI) อยู่ในระดับปกติ โดยให้มีค่าอยู่ระหว่าง 20 – 23.5 kg/m2
3. ผู้ที่มีภาวะออกซาเลตในปัสสาวะสูง ควรได้รับ แมกนีเซียมและวิตามินบี 6 เสริม เพื่อช่วยลดการสร้างของออกซาเลตในตับ
4.ไม่ควรรับประทานวิตามินซีมากกว่า 500 มก.ต่อ วัน เพราะจะไปเพิ่มออกซาเลตในปัสสาวะและเพิ่มปัจจัยเสี่ยงของการเกิดนิ่ว
5. การคลายเครียดด้วยการบริหารร่างกาย แบบโยคะ หรือใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อลดความเครียด เช่น การสร้างจินตภาพ เพื่อผ่อนคลายส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงงดสูบบุหรี่ จะช่วยลดความเครียดของร่างกายที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์บุท่อไต
6. หลังออกกำลังกาย หรือทำงานหนักในที่มีอากาศร้อน สูญเสียเหงื่อมาก จะต้องดื่มน้ำชดเชยให้เพียงพอ หรือควรดื่มน้ำเป็นประจำตลอดทั้งวันประมาณ 2 ลิตรต่อวัน เพื่อลดการอิ่มตัวของสารก่อนิ่วและการตกผลึกในปัสสาวะ
การป้องกันมิให้เป็นนิ่วซ้ำอีก
มีวิธีง่าย ๆ คือ ควรรู้จักหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นต้นเหตุของการเกิดนิ่ว โดยมีหลักดังนี้
1. นิ่วชนิดแคลเซียมออกซาเลต ควรลดอาหารที่มีปริมาณแคลเซียม และออกซาเลตสูงพร้อม ๆ กัน และลดอาหารเค็มจัดหรือวิตามินซีเกินความจำเป็น (ปกติร่างกายต้องการวิตามิน ซี วันละ 400-500 มิลลิกรัม ไม่ควรให้เกินวันละ 1 กรัม เพราะวิตามิน ซี ทำให้มีการดูดซึมของแคลเซียมและมีการสร้างออกซาเลตสูง)
2. นิ่วชนิดกรดยูริกและเกลือยูริก โดยเฉพาอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีกรดยูริกในเลือดสูง หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์ ควรเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เพราะตับจะเปลี่ยนสารนี้ ให้เป็นกรดยูริก และขับออกทางปัสสาวะ จึงควรงดอาหารที่มีพิวรีนสูง และไม่ควรกินอาหารที่มีพิวรีนปานกลางมากเกินไป
ที่มา: หมอสะกีนะฮฺ แพทย์แผนตะวันออก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น